Skip to content
Home » Shared Stories » พัฒนาการชีวิตมนุษย์ (Human Development)

พัฒนาการชีวิตมนุษย์ (Human Development)

Introduction

การศึกษาพฤติกรรมต่างๆ มีความสัมพันธ์กับอินทรีย์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นตัวมนุษย์เป็นอินทรีย์ที่มีลักษณะซับซ้อนน่าศึกษายิ่ง เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิ ไปจนกระทั่งเจริญเติบโตและตายในที่สุด พัฒนาการชีวิตมนุษย์จะทำให้เราเข้าใจถึงขั้นตอนและแบบแผนของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละช่วงชีวิต ตลอดจนทำให้เราเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของชีวิตมนุษย์

1. ความหมายของพัฒนาการและการเจริญเติบโต

โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ มักจะมีคำ 2 คำที่นิยม

ใช้แทนกัน คำแรกคือ พัฒนาการ (Development) และ คำว่า การเจริญเติบโต (Growth) ซึ่งตามความจริงแล้วคำสองคำนี้มีความหมายแตกต่างกัน

พัฒนาการ หมายถึง การเพิ่มหรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพ เช่น การพัฒนาการตามลำดับของการเคลื่อนไหวของทารกจากการที่ทารกสามารถคว่ำ ต่อมาสามารถคลาน สามารถยืน และสามารถเดินได้ เป็นพัฒนาการที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันและต้องอาศัยความพร้อมร่วมกันของระบบหลายๆ อย่างในร่างกาย เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท เป็นต้น พัฒนาการเป็นการเจริญเติบโตเพื่อนำไปสู่การมีวุฒิภาวะ (Maturation) วุฒิภาวะเป็นขบวนการเปลี่ยนแปลที่เกิดขึ้นตามวิถีทางของธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ และไม่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ (Bernstein. 1999 : 330) กล่าวคือ เมื่อมีความพร้อมการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นเองได้ เช่น เด็กอายุประมาณ 3 เดือน สามารถหมุนตัวคว่ำได้ อายุประมาณ 6 เดือน สามารถนั่งได้ อายุประมาณ 12 เดือน สามารถเดินได้ ถึงแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมใดก็ตาม

การเจริญเติบโต หมายถึง การเพิ่มหรือการเปลี่ยนแปลงทางด้านปริมาณ เช่น การเพิ่มของส่วนสูง การเพิ่มของน้ำหนัก การเพิ่มขนาดของอวัยวะ เช่น แขน ขา ลำตัว หรือขนาดของสมอง เป็นต้น

พัฒนาการของมนุษย์จะมีระยะวิกฤติ (Critical Period) คือ ช่วงระยะสำคัญที่ลักษณะบางอย่างควรจะเกิดขึ้นตามพัฒนาการปกติ ถ้าไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้แล้ว ความบกพร่องอาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งมีผลเสียต่อพัฒนาการในช่วงต่อไป

การพัฒนาการของมนุษย์ ต้องอาศัยทั้งวุฒิภาวะ การเรียนรู้และเกิดขึ้นในระยะเวลาที่เหมาะสม ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะทำให้มีพัฒนาการที่ล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น ได้มีนักจิตวิทยาพยายามศึกษาอิทธิพลของวุฒิภาวะและการเรียนรู้ที่มีต่อพัฒนาการของมนุษย์และสรุปว่า

  1. เด็กจะสามารถเรียนรู้ทักษะที่เกิดจากแบบแผนของพฤติกรรมที่สืบเนื่องมาจากพัฒนาการได้เร็วที่สุด เช่น เด็กสามารถพูดคำว่า แม่ ได้เร็วที่สุดเพราะคำออกเสียงคล้ายเสียงธรรมชาติของเด็ก คือ เสียงอ้อ แอ้ เป็นต้น
  2. อัตราของพัฒนาการจะยังคงเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แม้จะจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างกว้างขวางเพียงใดก็ตาม
  3. ยิ่งมีวุฒิภาวะมาก การฝึกฝนก็ยิ่งใช้น้อยลง
  4. การฝึกหรือการเรียนรู้ก่อนช่วงที่มีวุฒิภาวะอาจจะไม่ได้ผลดีขึ้นเลย ถึงจะดีขึ้นก็เป็นอยู่ในช่วงระยะเวลาชั่วคราวเท่านั้น
  5. ถ้าในระหว่างการฝึกก่อนการวุฒิภาวะ มีสถานการณ์ที่ทำให้บุคคลมีความคับข้องใจ จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีเพราะเป็นการเร่งก่อนที่บุคคลจะมีความพร้อม

2. ขบวนการพัฒนาการ (The Process of Development)

ในช่วงชีวิตของแต่ละบุคคล การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรอยู่นิ่งตั้งแต่เกิดจนตาย ในช่วงชีวิตการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจเริ่มขึ้น บางอย่างอาจถึงจุดยอดเต็มที่ และบางอย่างอาจเริ่มถอยหลัง แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตของแต่ละคนอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะคือ

1. การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขนาด (Changes in size)

เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านขนาด เช่น รูปร่างที่สูงใหญ่ขึ้น น้ำหนักที่มากขึ้น อวัยวะทั้งภายนอกและภายในมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นต้น

2. การเปลี่ยนแปลงทางสัดส่วน (Changes in Proportion)

สัดส่วนของมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะต่างๆ ของอายุ เช่น ในผู้ใหญ่จะมีสัดส่วนของส่วนต่างๆ แตกต่างไปจากเด็ก เช่น เมื่อแรกเกิดส่วนศรีษะจะมีขนาด 1 ใน 4 ของส่วนสูงทั้งหมด แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ สัดส่วนของศรีษะจะเปลี่ยนแปลงไปเป็น 1 ใน 7 ของส่วนสูงของร่างกาย นอกจากนั้นส่วนลำตัว เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะยาว 3 เท่าของความยาวของลำตัวเมื่อแรกเกิด เป็นต้น

3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความซับซ้อน (Changes in complexity)

โดยทั่วไป เมื่อมนุษย์มีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ลักษณะต่างๆ จะมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ทางด้านร่างกายเช่น การเคลื่อนไหวของมือสามารถที่จะหยิบ จับ ดึง และบิดสิ่งต่างๆ ได้ ทางด้านอารมณ์ มีการแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้นจากช่วงวัยเด็กที่แสดงได้เพียง 2-3 อย่าง พอโตขึ้นสามารถแสดงอารมณ์ได้เพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น ทางด้านสังคมรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่คุ้นเคย ทางด้านสติปัญญาสามารถคิดสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นได้เช่น สิ่งที่เป็นนามธรรรม หรือต้องใช้เหตุผลเชิงตรรก

4. ความสามารถเก่าๆ หายไป พร้อมกับมีความสามารถใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ (Disappearance of old feature and acquisition of new features)

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากสิ่งเก่าที่เคยมีหายไป แล้วมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาแทนที่ เช่น การเปลี่ยนของฟันน้ำนมไปสู่การมีฟันแท้ เส้นผมที่หลุดแล้วงอกใหม่ทุกวัน หรือหนังกำพร้าที่หลุดแล้วเกิดใหม่ขึ้นมาทดแทน เป็นต้น

3. หลักการของพัฒนาการของมนุษย์ (Principles of Growth Development)

1. การพัฒนาการเป็นไปตามแบบแผน (Pattern)

เป็นการพัฒนาของมันเองในการพัฒนาการของมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม จะมีแบบแผนของมันเองเป็นระยะๆ มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เช่น เด็กสามารถคว่ำได้ก่อนคลาน คลานได้ก่อนเดิน เป็นต้น หลักการพัฒนาการของเด็กจะแบ่งออกเป็น 2 ทิศทาง (Directions) คือ

1.1 Cephalo – caudal direction คือ การพัฒนาจากส่วนบนลงมาหาส่วนล่าง เช่น เด็กทารกจะสามารถใช้อวัยวะบริเวณศรีษะก่อน แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ลำตัว และลงมาส่วนขาเป็นต้น

1.2 Proximo – distal direction คือ การพัฒนาการที่เริ่มจากแกนกลางตัวออกไปยังข้างลำตัว เช่น เด็กก่อนที่จะใช้มือหยิบจับอะไร จะใช้ท่อนแขนก่อน แล้วจึงค่อยๆ พัฒนาการการใช้มือ และนิ้วมือตามลำดับ

2. การพัฒนาการเริ่มจากส่วนใหญ่ไปหาส่วนย่อย

หรือจากพฤติกรรมทั่วไปไปหาพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ในเด็กทารกมีการเคลื่อนไหวทั้งตัว ก่อนการเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือการออกเสียง จะออกเสียงอือ ออ ก่อนที่จะเป็นคำเฉพาะเจาะจงลงไป

3. พัฒนาการจะต่อเนื่องกันโดยไม่มีการหยุดหรือขาดตอน

การพัฒนาการของอวัยวะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา และพัฒนามาเรื่อยไม่มีการหยุดยั้ง การที่เรามีฟันขึ้นไม่ใช่เพิ่งมาพัฒนาตอนที่เรามีฟันขึ้น แต่พัฒนามาตั้งแต่เราอยู่ในครรภ์ โดยฟันอยู่ในเหงือกซึ่งเรามองไม่เห็น การพัฒนาเป็นสายต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่อาจได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาการ เช่น การขาดสารอาหารตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หรือขาดอาหารตอนเป็นทารกจะส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและสติปัญญาเมื่อเติบโตขึ้น

4. อัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน

ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราจะได้พบว่า เด็กบางคนมีการเจริญเติบโตเร็ว บางคนโตช้า เพราะมีพันธุกรรมต่างกันหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกัน

5. อัตราการพัฒนาการของส่วนต่างๆ ของร่างกายแตกต่างกัน

อวัยวะหรือส่วนต่างๆของร่างกายมีอัตราการเจริญเติบโตต่างกัน เช่น มือ เท้า จะเจริญเติบโตถึงขีดสุดในวัยรุ่น การคิดคำนึง การคิดสร้างสรรค์จะเจริญอย่างรวดเร็วในระหว่างวัยเด็กและถึงขีดสุดเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว

6. พัฒนาการทุกด้านจะสัมพันธ์กัน และเราสามารถทำนายพัฒนาการของเด็กได้

พัฒนาการทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา มักจะมีการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหมด ถ้าด้านหนึ่งด้านใดบกพร่อง ด้านอื่นก็จะบกพร่องไปด้วย เช่น ถ้ามีพัฒนาการทางร่างกายไม่ดี ก็ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อการพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น อารมณ์เสียบ่อย หงุดหงิด มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสังคม เช่น ไม่กล้าติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น ขาดความมั่นใจในตนเอง มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญา เด็กจะไม่กล้าคิดวิเคราะห์ จะเห็นว่าเราสามารถทำนายพัฒนาการของเด็กได้ว่าเด็กจะมีปัญหาอะไรได้บ้างและเติบโตขึ้นจะเป็นคนที่มีลักษณะอย่างไร โดยอาศัยแนวโน้มของพัฒนาการที่เกิดในปัจจุบัน

7. การพัฒนาการแต่ละวัยมีลักษณะเฉพาะตัวของมันเอง

ในเด็กแต่ละวัยจนถึงวัยผู้ใหญ่พฤติกรรมในแต่ละวัยย่อมแตกต่างกันไป เช่น ในวัยเด็กการกระโดดโลดเต้น การถามซ้ำๆ เป็นพฤติกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะวัย เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ลักษณะเหล่านี้จะหายไปแต่จะมีลักษณะเฉพาะวัยอย่างอื่นเกิดขึ้นมาแทน เช่น มีลักษณะสุขุมรอบครอบ เป็นต้น

8. เด็กปกติทั่วไป จะผ่านการพัฒนาการทุกขั้นตอนอย่างสะดวก จนอายุประมาณ 21 ปี จึงจะเจริญเต็มที่ทุกๆ ด้าน

การพัฒนาการขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะและการเรียนรู้ วุฒิภาวะทำให้เกิดความพร้อมของร่างกาย ที่จะทำให้มีความสามารถในการกระทำอย่างหนึ่งได้ การเรียนรู้จะช่วยฝึกฝนทำให้เกิดความชำนาญ ทั้งวุฒิภาวะและการเรียนรู้เป็นของคู่กัน การเรียนรู้ต้องอาศัยวุฒิภาวะอยู่มาก เช่น ถ้าเราฝึกหัดเด็ก 2 ขวบให้เขียนหนังสือย่อมเป็นไปได้ยากมาก ทั้งนี้เพราะเด็กยังไม่มีวุฒิภาวะในความสามารถที่จะเขียนได้ เนื่องจากร่างกายยังไม่พร้อม กล้ามเนื้อมือ นิ้วยังไม่แข็งแรงพอ ความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่น การเคลื่อนไหวของมือและตายังไม่สัมพันธ์กันดีพอ ถึงจะสอนให้เขียนก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเด็กยังมีวุฒิภาวะไม่พร้อม ดังนั้นเราควรดูว่าเด็กพร้อมหรือยังที่จะฝึกหัดทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง การเร่งสอนไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์เสมอไป แต่อาจทำให้เกิดผลเสียได้ เช่น อาจทำให้เด็กท้อหรือวิตกกังวลในเรื่องการเรียนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียนในอนาคตได้

4. พัฒนาการในวัยต่างๆ

นักจิตวิทยาพัฒนาการนิยมแบ่งชีวิตตลอดชีวิตเป็นช่วงเวลาหลายช่วง เรียกว่า วัย แต่ละช่วงวัย อาศัยอายุตามปฏิทินเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง พัฒนาการที่สำคัญในวัยต่างๆ มีดังนี้

1. วัยก่อนเกิด (Prenatal Period)

เป็นวัยนับตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอด ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ประมาณ 250 – 280 วัน หรือประมาณ 9 เดือน ชีวิตใหม่ได้กำเนิดขึ้นมาเมื่อไข่(Ovum)ของแม่ได้รับการผสมกับอสุจิ( Sperm Cell) ของพ่อ ซึ่งชีวิตใหม่นี้มีโครโมโซม 23 คู่ ได้มาจากพ่อและแม่คนละครึ่ง สำหรับลักษณะเพศนั้นถูกกำหนดโดยการผสมโครโมโซม X หรือ Y จากพ่อกับโครโมโซม X ของแม่ ถ้าลูกได้ XX จะเป็นเพศหญิง ส่วน XY จะเป็นเพศชาย

สำหรับรูปร่างหน้าตานั้นมียีนส์(Genes) เป็นตัวกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะเด่นด้อยของยีนส์พ่อและแม่ ถ้าลักษณะยีนส์แม่เด่นก็จะข่มลักษณะยีนส์พ่อให้ด้อย ลูกที่เกิดมาจะเหมือนแม่มากกว่าพ่อ ในทำนองเดียวกัน ถ้ายีนส์พ่อเด่นลูกก็จะเหมือนพ่อ ที่ว่านี้เป็นไปตามกฎของเมนเดล(Mendel)

ภายหลังจากการปฏิสนธิบริเวณท่อนำไข่ (Fallopian tube) ประมาณ 24 ชั่วโมงแล้ว ไข่ก็จะแบ่งเซลล์ โดยที่แต่ละเซลล์จะแบ่งตัวมันเองออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการไปเรื่อยๆ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นซ้ำกันจนกระทั่งเกิดเซลล์ขึ้นมากมาย ในขณะที่มีการแบ่งเซลล์กลุ่มของเซลล์ก็จะค่อยๆเคลื่อนมาตามท่อนำไข่ไปยังมดลูก ปกติการเดินทางของไข่ถึงมดลูกจะกินเวลาประมาณ 7 วัน กลุ่มของเซลล์จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 2/100 นิ้วเท่านั้น เซลล์นี้จะยึดติดกับผนังมดลูก ไข่ที่ได้รับการผสมอาจแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้ (Bernstein. 1988 : 38-39)

ระยะที่ 1 คือ Germinal stage คือระยะตั้งแต่แรกเกิด ถึง 2 สัปดาห์แรกที่ไข่ได้รับการผสมและเซลล์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเหมือนตัวมันเอง

ระยะที่ 2 คือ Embryonic stage คือระยะตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึง สัปดาห์ที่ 6 สัปดาห์รวม 4 สัปดาห์จากระยะที่หนึ่ง เริ่มต้นของระยะนี้เซลล์จะแบ่งออกเป็น 3 ชั้นด้วยกันคือเนื้อเยื่อชั้นใน (endoderm) ซึ่งต่อมาจะพัฒนาเป็นระบบท่ออาหารเนื้อเยื่อชั้นกลาง (mesoderm) เป็นแหล่งที่จะพัฒนาเป็นกล้ามเนื้อ หลอดเลือด เยื่อบุต่างๆในร่างกาย อวัยวะสืบพันธุ์ อวัยวะขับถ่าย กระดูก เนื้อเยื่อชั้นนอก (ectoderm) จะพัฒนาเป็นผิวหนัง อวัยวะรับความรู้สึก ระบบประสาท สมอง เมื่อสิ้นสุดระยะที่ 2 หรือ สองเดือนหลังปฏิสนธิเซลล์และอวัยวะจะมีลักษณะของมนุษย์อย่างคร่าวๆ

ระยะที่ 3 คือ Fetal stage เป็นระยะที่จะมีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนต่อมาตลอด 7 เดือน เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วก็จะเป็นเด็กทารก

ลักษณะเด่นเฉพาะของวัยนี้คือ ความเจริญเติบโตทางร่างกายและระบบประสาทที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สุขภาพทางกายและจิตของมารดาส่งผลถึงความเจริญของลูกอ่อนในครรภ์ มารดาที่ดื่มแอลกอฮอร์มากๆ อาจจะส่งผลให้ทารกในครรภ์มีลักษณะที่เรียกว่า alcohol syndrome มารดาที่มีความวิตกกังวลมากๆ (anxiety) จะส่งผลต่อบุคลิกภาพบางอย่างของเด็กเมื่อเติบโตขึ้น 1 (Nairne. 2000 : 112)

รูปแสดงพัฒนาการของทารกในวัยก่อนคลอด ที่มา : Bernstein. 1999 :332

2. วัยทารก (Infancy Period)

วัยทารกเป็นวัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการวางรากฐานของชีวิต วัยนี้เริ่มตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มารดาจนถึงประมาณ 2 ปีแรกของชีวิต หลังจากที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว ทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่หลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การหายใจ การดูดกลืนอาหาร การย่อยอาหาร การขับถ่าย (ซึ่งก่อนหน้านี้ทารกต้องพึ่งพิงมารดา) จึงนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่ทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ให้ได้เพื่อจะได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ นอกจากการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งในวัยทารกคือ บุคคลรอบข้างของเด็ก บุคคลรอบข้างที่เป็นสภาพแวดล้อมที่สำคัญของเด็กได้แก่มารดาหรือผู้เลี้ยงดู ซึ่งดูแลให้อาหาร ให้ความรักความอบอุ่น สัมผัสอุ้มชูด้วยความรัก และทำความสะอาดร่างกายให้ ทารกจะได้เรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเป็นครั้งแรกในวัยนี้ ซึ่งทักษะการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นนี้ จะเป็นทักษะที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่นในสังคมต่อไปในอนาคต พัฒนาการในวัยนี้พอจะแยกเป็น 5 ด้านได้คือ พัฒนาการทางกาย พัฒนาการทางสติปัญญา พัฒนาการทางอารมณ์ พัฒนาการทางสังคม และพัฒนาการทางภาษา

2.1 พัฒนาการทางกาย (Physical Development)

มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างของร่างกายและการรู้จักใช้อวัยวะต่างๆ อย่างรวดเร็ว ศรีษะที่โตค่อยๆ ดูเล็กลง ลำตัวและขาดูยาวใหญ่ขึ้น โครงกระดูกเจริญเติบโตรวดเร็ว แขนและขาจึงแข็งแรงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาการอย่างมากมายทางการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ทารกที่อยู่ในช่วงนี้จึงไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง ชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม(รูปแสดงพัฒนาการสัดส่วนของร่างกาย หน้า 65 ศรีเรือน) ผู้เลี้ยงดูจึงควรระมัดระวัง ไม่ให้เด็กเล่นสิ่งของอันจะนำอันตรายมาสู่ตัวเอง เช่น ปลั๊กไฟ เหรียญสตางค์ เป็นต้น ผู้เลี้ยงดูควรจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้รับความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

2.2 พัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development)

พัฒนาการทางสติปัญญาไม่ว่าในวัยใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการคือ

1) พื้นฐานทางสติปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ

2) โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้

3) สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก

นอกเหนือจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญายังได้แก่

1) โอกาสที่เด็กจะได้เล่น เพราะการเล่นช่วงส่งเสริมความเข้าใจสิ่งแวดล้อม ดังคำกล่าวที่ว่า การเล่นคือการเรียน (Playing is Learning) 2 (ศรีเรือน แก้วกังวาล. 2527 : 71)

2) ความสามารถที่จะเข้าใจภาษาและใช้ภาษาที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ

3) พัฒนาการของกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส (Sensory motor) เพราะระยะนี้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยอาศัยกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่ การที่เด็กได้มีโอกาสแตะต้อง เห็น ได้ยิน วัตถุที่ให้การเรียนรู้ จะช่วยพัฒนาสติปัญญาอย่างมาก

การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านนี้จำต้องอาศัยการเรียนรู้ จึงควรจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อตอบสนองการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง ผู้เลี้ยงดูควรจัดหาของเล่นให้เด็กให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก ของเล่นนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว เด็กยังสามารถเรียนรู้หลายๆ อย่างจากของเล่นนั้นๆ เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับรูปฟอร์มต่างๆ เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม เป็นต้น ซึ่งความรู้เหล่านี้ก็คือความรู้ขั้นพื้นฐานของวิชาคณิตศาสตร์นั่นเอง นอกจากความรู้เกี่ยวกับรูปฟอร์มต่างๆ แล้ว เด็กยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับขนาด เช่น ใหญ่-เล็ก จำนวนและสีของสิ่งเหล่านั้นว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใดและมีสีสันอะไรบ้าง ฉะนั้นในการหาซื้อของเล่นให้เด็ก บิดามารดาจึงควรหาซื้อของเล่นชนิดของเล่นเพื่อการศึกษา (Educational Toys) เพื่อสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็นและยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา

2.3 พัฒนาการทางอารมณ์ (Emotion Development)

อารมณ์ของเด็กในวัยนี้ เปลี่ยนแปลงง่ายรวดเร็วขึ้นอยู่กับสิ่งเร้า อารมณ์โกรธมีมากกว่าอารมณ์อื่นๆ เพราะเป็นระยะที่เด็กพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง พยายามฝึกฝนตนเองเพื่อให้สามารถช่วยตนเองทางสมรรถภาพของร่างกาย แต่เด็กไม่สามารถทำได้ตามใจตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ยั่วยุให้เด็กโกรธได้ง่ายๆ ผลที่ตามมาก็คือ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว โยเย เด็กอาจแสดงอารมณ์โกรธออกมาหลายวิธีเช่น ร้องไห้ ทุบตี ไม่สบาย เป็นต้น

อารมณ์กลัวเกิดมากเป็นอันดับสองรองจากอารมณ์โกรธ อารมณ์กลัวเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ความไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อม การหลอกหรือขู่ของผู้ใหญ่ หรืออาจจะเกิดจากประสบการณ์ที่เด็กได้รับโดยตรงก็ได้ เช่น ความมืด การถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวตามลำพัง เด็กแสดงอารมณ์กลัวออกมาโดยวิธี ร้องไห้จ้า หนี ให้ผู้ใหญ่อุ้ม ไม่รับประทานอาหาร เป็นต้น

อารมณ์อยากรู้อยากเห็นเป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่มีค่อยข้างมากเกิดจากความต้องการรู้จักสิ่งแวดล้อม อารมณ์ประเภทนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสติปัญญา ถ้าบิดามารดาส่งเสริมให้ถูกวิธีจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางด้านสติปัญญาได้

การส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ ผู้เลี้ยงดูไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ในอารมณ์โกรธนานๆ เพราะจะทำให้เด็กที่เติบโตขึ้นเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวโกรธง่าย ควรสนองความต้องการของเด็กตามความเหมาะสม และไม่ควรหลอกเด็กให้กลัวโดยไม่มีเหตุผล หรือขู่กรรโชกเด็กให้กลัว เพราะจะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่กลัวง่าย ตกใจง่าย หวาดระแวงเป็นผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเด็กในอนาคต เมื่อเด็กสงสัยซักถามผู้ใหญ่หรือบิดามารดาเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่ควรดุว่าเด็กจะทำให้เด็กไม่กล้าซักถามอะไรอีกต่อไป ซึ่งไม่ช่วยให้เด็กได้ศึกษาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ทั้งยังไม่ได้ตอบสนองความต้องการในด้านความอยากรู้อยากเห็นของเด็กด้วย นอกจากนั้นยังควรส่งเสริมอารมณ์รื่นเริงยินดีให้กับเด็ก เพราะอารมณ์นี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตที่ดี การส่งเสริมทำได้โดยการสัมผัสอุ้มชู หยอกล้อ เล่นกับเด็ก หรือส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่เด็กชอบ

2.4 พัฒนาการทางสังคม (Social Development)

พัฒนาการทางสังคม หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ตั้งแต่ บิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดู ขยายออกไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว บุคคลอื่นๆ ในชุมชน ในโรงเรียนและในสังคมที่ตนเองเป็นสมาชิก แบบพฤติกรรมสังคมมีหลายอย่าง เช่น ก้าวร้าว นุ่มนวล เยือกเย็น รุ่มร้อน เก็บตัว ชอบสังคม คบคนง่าย คบคนยาก ชอบโทษผู้อื่น ชอบโทษตนเอง ชอบวางอำนาจใส่ผู้อื่น ชอบเป็นผู้นำ ชอบเป็นผู้ตาม เปลี่ยนแปลงง่าย เปลี่ยนแปลงยาก ไม่ยอมใครง่ายๆ ยอมให้ผู้อื่นง่ายๆ ชอบเอาเปรียบ ชอบนินทา ชอบต่อสู้ ฯลฯ

พฤติกรรมทางสังคมของแต่ละบุคคลจะแสดงออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับอิทธิพลต่างๆ หลายประการ ที่บุคคลเรียนรู้และได้รับในวัยทารก เช่น

1) ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะที่เด็กได้รับอาหาร การได้รับอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเด็กในวัยนี้ ฟรอยด์เชื่อว่า ความสุขของคนในระยะนี้อยู่ที่การได้กินอาหาร ดังนั้นถ้าเด็กไม่มีความสุขอย่างเพียงพอเกี่ยวกับการกินอาหาร จะกระทบกระเทือนไปถึงการพัฒนาการทางสังคมและพัฒนาการทางอารมณ์ด้วย

2) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ภายในบ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในบ้านทั้งในแง่ดีและไม่ดีจะเป็นรอยประทับไว้ในจิตใจของเด็ก โดยที่เด็กไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถใช้สติปัญญาเลือกเฟ้น เด็กจะเรียนและเลียนแบบความสัมพันธ์เหล่านี้ไปปฏิบัติในชีวิตอนาคต

3) การฝึกหัดให้เด็กรู้สึกเคารพระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นรากฐานที่สำคัญของพฤติกรรมทางสังคมในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น

4) การฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ รับรู้ และเข้าใจเรื่องมารยาทสังคม ค่านิยม (Value) และจรรยา (Moral) เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้บุคคลมีชีวิตทางสังคมอย่างมีความสุข

การส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม เด็กที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากบิดามารดาอย่างเพียงพอจะเรียนรู้ในการที่จะรักบุคคลอื่นด้วย บิดามารดาควรจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้มีประสบการณ์ทางสังคมมากขึ้น ได้มีโอกาสสมาคมกับผู้อื่น ได้มีโอกาสร่วมแสดงความเห็นกับผู้อื่น จะทำให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาการทางสังคม นอกจากนี้บิดามารดาควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กในการแสดงมารยาททางสังคม เช่น การทักทาย การต้อนรับแขก รวมทั้งมารยาทที่พึงปรารถนาในสังคมทุกประเภท

2.5 พัฒนาการทางภาษา (Speech Development)

ทารกแรกเกิดใช้การร้องไห้ การทำเสียงที่ยังไม่เป็นภาษาเป็นเครื่องสื่อความหมาย การพูดภาษาของเด็กขึ้นอยู่กับความพร้อมและวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆ ที่ใช้ในการพูด การฝึกในการพูดภาษาของเด็กอาศัยการเรียนรู้และการเลียนแบบ เด็กจึงเริ่มเข้าใจภาษาของบุคคลที่พูดให้ตนฟังรู้เรื่องก่อน เมื่อเข้าใจแล้ว หัดเรียนและเลียนพูดตามจนกระทั่งพูดได้ กว่าจะพูดเป็นภาษาได้อย่างผู้ใหญ่นั้นกินเวลาถึงประมาณ 6 ขวบ

การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา บิดามารดาหรือผู้ปกครอบควรจะสอนให้เด็กเริ่มต้นพูดด้วยคำง่ายๆ ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดามารดาหรือผู้เลี้ยงดูจะต้องพูดให้ชัดเจนเพื่อเป็นตัวแบบที่ถูกต้องให้กับเด็ก นอกจากการสอนให้รู้จักคำต่างๆ แล้ว บิดามารดาควรจะพูดกับเด็กบ่อยๆ ควรตอบคำถามที่เด็กถามง่ายๆ สั้นๆ ใช้คำศัพท์ให้เหมาะสมกับวัยเด็ก นอกจากนี้แล้วการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษายังส่งเสริมได้หลายๆ ทางด้วยกัน เช่น เล่านิทานสนุกๆ ให้เด็กฟัง เห่กล่อมก่อนเข้านอน อ่านหนังสือเด็กให้ฟัง สอนให้ร้องเพลงเด็กและทำท่าประกอบง่ายๆ เป็นต้น

3. วัยเด็กตอนต้นหรือวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน (Early Childhood or Pre School Age)

วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุประมาณ 2 ขวบ จนถึง 6 ขวบ ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ อยากเป็นอิสระ อยากเป็นตัวของตัวเอง ดื้อดึงต่อพ่อแม่ เด็กวัยนี้เป็นวัยที่กำลังน่ารักและน่าชัง ไม่สู่จะตามใจใครง่ายๆ วัยนี้จึงได้รับสมญาว่า วัยช่างปฏิเสธ (Negativistic Period) ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เพิ่งพ้นจากวัยทารกประกอบมีความสามารถทางกายเพิ่มมากขึ้นจึงต้องการแสดงความสามารถ และมีการติดต่อกับบุคคลต่างๆ มากขึ้น การติดต่อสังสรรค์กับผู้อื่นเป็นการเพิ่มและเร้าให้มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นพัฒนาการที่สำคัญในเด็กวัยนี้มีดังนี้

3.1 พัฒนาการทางกาย (Physical Development)

พัฒนาการทางกายในวัยเด็กตอนต้น ยังเป็นไปแบบเจริญเติบโตเพื่อให้ทำงานเต็มที่ แต่อัตราแปรเปลี่ยนค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับระยะวัยทารก น้ำหนักและส่วนสูงยังคงเพิ่มขึ้นแต่ไม่เพิ่มมากนัก สัดส่วนของร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แขนขายาวขึ้น ลำตัวยาวและกว้างขึ้นเป็นสองเท่าของทารกเกิดใหม่ กระดูกเพิ่มความแข็งแรงกว่าเดิม กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ฉะนั้นจึงเป็นระยะที่เหมาะที่สุดที่จะฝึกได้เล่นกีฬาประเภทเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เหมาะกับกำลังของเด็ก ซึ่งจะช่วยการเรียนรู้และพัฒนาพฤติกรรมด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา

ความเจริญเติมโตทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเตรียมตัวให้เด็กช่วยเหลือตัวเองได้ บิดามารดาจึงควรสนับสนุนให้เด็กช่วยเหลือตัวเองทางด้านร่างกายต่างๆ เช่น ฝึกให้เด็กรับประทานอาหารเอง ใส่เสื้อผ้าเอง ถอดเสื้อผ้าเอง ฯลฯ ถ้าไม่ฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองเด็กจะปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกและบุคคลอื่นๆ นอกครอบครัวได้ค่อนข้างลำบาก

การสร้างอุปนิสัยในการรับประทานอาหาร ควรทำอย่างจริงจัง และเป็นข้อที่ผู้ปกครองต้องถือปฏิบัติในการอบรมเด็กของตนเอง เพื่อให้เด็กรู้จักเลือกรับประทานอาหารได้อย่างถูกสุขลักษณะ ถูกเวลา และมีมารยาทในการรับประทานอาหาร ถ้าปล่อยปละละเลยจะทำให้หัดได้ยากเมื่อพ้นวัยนี้

ส่วนการสร้างสุขนิสัยในการขับถ่าย ควรฝึกเด็กอย่างจริงจัง เนื่องจากสภาพทางร่างกายของเด็กพร้อมแล้ว เด็กสามารถควบคุมการขับถ่ายอุจาระได้ก่อนปัสสาวะ และควบคุมการถ่ายปัสสาวะตอนกลางวันได้ดีกว่าตอนกลางคืน

การสร้างสุขนิสัยทางกายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมีผลต่อพฤติกรรมทางด้านสังคมด้วย ได้แก่ การคบเพื่อน การเข้าโรงเรียน การผูกมิตร การมีวินัย ฯลฯ ในปัจจุบันนี้เด็กๆ มักเริ่มออกจากบ้านตั้งแต่ในวัยนี้ ดังนั้นการสร้างสุขนิสัยทางกายต่างๆ นอกจากจะเริ่มจากทางบ้านแล้ว จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางโรงเรียนด้วยเพราะเด็กวัยนี้ใช้เวลาวันละประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง นอกจากนี้สุขนิสัยทางกายยังมีผลต่อพัฒนาการทางด้านอื่นๆ อีก เช่น พัฒนาการทางอารมณ์และความคิด

การเล่นสำหรับเด็กในวัยนี้ในทุกรูปแบบ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการพัฒนาการทางกาย ทางสังคม และทางอารมณ์ของเด็ก ความสำคัญของการเล่นจะมีผลไปถึงวัยเด็กตอนปลาย เพราะการเล่นของเด็กคือ การเรียนรู้ (Playing is Learning) แต่การเล่นจะให้คุณหรือให้โทษนั้น อยู่ที่ลักษณะของการเล่นและของเล่น ที่เหมาะกับวัย สุขภาพ และเพศของเด็ก

3.2 พัฒนาการทางอารมณ์

เด็กในวัยนี้ จะมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายกว่าเด็กในวัยทารก ดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง เจ้าอารมณ์ ทั้งนี้เพราะอยู่ในวัยช่างปฏิเสธ (Negativistic Phase) อารมณ์โกรธเป็นอารมณ์ธรรมดาที่สุดของเด็กในวัยนี้ เพราะในระยะนี้เด็กโกรธง่าย เนื่องจากอยากเป็นตัวของตัวเอง การแสดงอารมณ์โกรธอาจแสดงออกมาได้หลายวิธี เช่น กระทืบเท้า ร้องไห้กรี๊ดๆ นอนดิ้นกับฟื้น ฯลฯ ส่วนอารมณ์อวดดื้อถือดี (Negativistic) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมากพอๆ กับอารมณ์โกรธ ความดื้อรั้นสืบเนื่องมาจากความต้องการทำอะไรๆ ด้วยตัวของตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีอารมณ์อยากรู้อยากเห็นแสดงให้เห็นจากการที่เด็กชอบตั้งคำถาม โน่นอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น อารมณ์ก้าวร้าวแสดงออกให้เห็นทั้งทางกายเช่น รังแกเพื่อน และทางวาจาโดยเฉพาะในช่วงอายุ 4 – 5 ขวบ จะแสดงความก้าวร้าวออกมาโดยใช้คำพูดมากกว่าใช้กำลังต่อสู้กัน อารมณ์อิจฉาริษยา เกิดขึ้นเนื่องจากตนรู้สึกว่า กำลังจะสูญเสียสิ่งที่ตนรักและเป็นสมบัติพิเศษของตนไปให้แก่บุคคลอื่น อารมณ์หวาดกลัว แสดงออกในลักษณะของการหลบซ่อน หลีกเลี่ยง สถานการณ์ที่ทำให้ตกใจกลัวหรือวิ่งหนีเข้าหาผู้ใหญ่ อารมณ์หรรษาจะเกิดเมื่อเด็กประสบความสำเร็จในการเป็นตัวของตัวเองได้สมใจ

3.3 พัฒนาการทางภาษา

ในระยะนี้เด็กใช้ภาษาพูดได้แล้ว แต่ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ดีเท่าผู้ใหญ่ เด็กจะพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาจนใช้งานได้ดีในช่วงระยะวัยเด็กตอนต้น เมื่อสิ้นสุดระยะนี้ไม่ว่าเด็กชาติไหนสามารถพูดภาษาแม่ของตนได้ดีเท่าผู้ใหญ่ วัย 6 ขวบเป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการภาษาพูด (Speech) นอกจากภาษาพูดแล้วเด็กบางคนเริ่มพัฒนาภาษาเขียนและเริ่มอ่านหนังสือ เพราะกล้ามเนื้อของเด็กและสายตาเริ่มพัฒนาพอใช้งานได้แล้ว

3.4 พัฒนาการทางสังคม

พัฒนาการทางสังคมได้เริ่มแล้วตั้งแต่วัยทารก แต่ในระยะวัยเด็กตอนต้นมีลักษณะผิดแผกจากวัยทารก เช่น

3.4.1 เด็กเริ่มรู้จักเข้าหาผู้อื่น ไม่คอยแต่เป็นฝ่ายรับการเข้าหาจากผู้อื่นเหมือนตอนที่เป็นวัยทารก

3.4.2 เด็กเริ่มเบื่อหน่ายที่จะคบผู้ใหญ่เป็นเพื่อน เริ่มแสวงหาเพื่อนร่วมวัยเดียวกัน

3.4.3 เด็กคบกับเพื่อนร่วมวัยยังไม่ราบรื่นนัก เพราะยังต้องการให้ผู้อื่นสนใจตนมากกว่าตนสนใจผู้อื่น (Self – center)

3.4.4 เพื่อนของเด็กยังมีจำนวนจำกัด นอกจากเพื่อนที่เป็นบุคคลจริงๆ แล้วเด็กยังมีเพื่อนอีกประเภทหนึ่งคือ เพื่อนสมมุติ (Imaginative Friend) เพื่อช่วยลดความตึงเครียดในด้านประสบการณ์สมาคม ระยะที่เด็กสร้างเพื่อนสมมุติมากที่สุดอยู่ระหว่าง 2 ขวบครึ่ง ถึง 4 ขวบครึ่ง

3.4.5 พร้อมๆ กับมีเพื่อนสมมุติ เด็กจะสร้างโลกสมมุติหรือเรื่องสมมุติขึ้น (Imaginative Word or Imaginative Play) การสร้างโลกสมมุติเป็นการเล่นชนิดหนึ่งของเด็กในวัยนี้ การเล่นสมมุติเป็นการเล่นเลียนแบบชีวิตจริง เช่น เล่นขายของ เล่นเป็นแม่ เล่นเลียนบทละครที่ดูจากโทรทัศน์ เด็กมักจะมีของเล่น และอุปกรณ์การเล่นประเภทต่างๆ ประกอบการเล่นสมมุติ เช่น ดินน้ำมัน ลูกปัด ตุ๊กตา กรรไกร ดินสอสี ฯลฯ การเล่นสมมุติบางอย่างอาจเลียนชีวิตจริงบางส่วนเท่านั้น เช่น เรื่องเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า ยักษ์ หุ่นยนต์ต่างๆ บุคคลเหล่านี้เป็นเพื่อนสมมุติของเด็ก ซึ่งเด็กบางคนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าเพื่อนในชีวิตจริงๆ ของเขาเสียอีก

3.4.6 พฤติกรรมทางสังคมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในระยะวัยเด็กตอนต้น ซึ่งน่ารู้น่าสนใจและไม่ควรมองข้าม ได้แก่ การที่เด็กหญิงและเด็กชาย เริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างเพศ (Sex Difference) เริ่มตระหนักว่าตนเป็นเพศหญิงหรือชาย และควรจะประพฤติตนอย่างไรจึงจะสมเป็นผู้หญิงสมเป็นผู้ชาย (Sexual Typing) การเรียนรู้เหล่านี้ นอกจากเด็กจะเรียนด้วยอาศัยการสังเกตและการเลียนแบบแล้ว ยังถูกอบรมแนะนำจากผู้ใหญ่ด้วย การเรียนรู้เหล่านี้เป็นรากฐานของการประพฤติตนอย่างชายหนุ่มหญิงสาว หรือบทบาทอย่างอื่นสำหรับเฉพาะชายหรือหญิงในภายภาคหน้า เช่น บิดา สามี มารดา ภรรยา ฯลฯ สาเหตุที่ทำให้ผู้ใหญ่บางคนประพฤติตนผิดไปจากลักษณะบทบาททางเพศของตนที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น กะเทย รักร่วมเพศ นั้นมีสาเหตุหนึ่งก็คือ ประสบการณ์และการเรียนรู้ของเขาในวัยนี้ผิดไปจากบทบาทที่ควรจะเป็นตามเพศที่เหมาะสมของตน

ฟรอยด์ (Freud) อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ระยะวัยเด็กตอนต้น เป็นระยะพัฒนาการซึ่งเขาใช้ชื่อว่า Oedipal Stage เด็กหญิงและเด็กชายจะตระหนักถึงความเป็นเพศชายหรือเพศหญิงของตน และเรียนรู้ที่จะทำตามเพศของตน โดยเลียนแบบจากผู้ใหญ่ที่เป็นเพศเดียวกับตน (Model or Idedtification Figures) การเลียนแบบบทบาททางเพศเกิดขึ้นเมื่อ

1. มีบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับตน

2. บุคคลนั้นเป็นผู้ที่เด็กมีความสัมพันธ์ที่ดี

3. บุคคลนั้นประพฤติตนตามบทบาททางเพศ

สองข้อข้างต้นมีความสำคัญที่จะบันดาลให้มีการเลียนแบบบทบาททางเพศเกิดขึ้น ส่วนข้อสุดท้ายนั้นเป็นตัวกำหนดว่า ลักษณะการเลียนแบบนั้นจะเป็นไปในรูปใด เช่น สมตามเพศหรือไม่ สมตามเพศแต่พอประมาณ หรือไม่สู้จะสมตามลักษณะบทบาททางเพศ พร้อมๆ กับการเลียนแบบบทบาททางเพศ เด็กจะเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลเพศตรงข้ามกับตนซึ่งในระยะนี้คือ ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับเด็ก เนื่องจากในหลายๆ ครอบครับ บิดามารดามักใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ฟรอยด์จึงอธิบายว่า ระยะนี้เด็กหญิงรักพ่อเลียนบทบาททางเพศจากแม่ เด็กชายรักแม่เลียนบทบาททางเพศจากพ่อ ถ้าเด็กหญิงและเด็กชาย ไม่ได้รับการสนองความต้องการเลียนแบบบทบาททางเพศของตนจากผู้ใหญ่ที่เป็นพศเดียวกับตน และสร้างสัมพันธภาพกับผู้ใหญ่ต่างเพศกับตน เมื่อเด็กยังอยู่ในระยะวัยเด็กตอนต้น เด็กจะเกิดปมของอารมณ์ความต้องการนี้ติดตัวไปในภายภาคหน้าเป็นลักษณะ Fixation (ไม่เปลี่ยนไปตามกาล) ฟรอยด์ให้ชื่อปมนี้ว่า Oedipus Complex ปมนี้เร้าให้มนุษย์มีพฤติกรรมทางเพศหลายอย่าง ซึ่งอาจผิดแผกไปจากที่สังคมส่วนมากยอมรับ เช่น รักร่วมเพศ ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนได้ ฯลฯ จะเป็นแบบใดหรือรุนแรงอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและลักษณะของปม Oedipus Complex ซึ่งมีต้นเหตุมาจากประสบการณ์ของชีวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ในระยะวัยเด็กตอนต้น

3.5 พัฒนาการทางศีลธรรมจรรยาและค่านิยม (Moral and Value Development)

ความนึกคิดเกี่ยวกับอะไรถูก ผิด ชั่ว นั้น เด็กยังคิดเห็นเป็นเหตุผลด้วยตนเองไม่ได้ ยังต้องอาศัยผู้อบรมเลี้ยงดูให้คำแนะนำ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคำแนะนำก็คือ การทำเป็นแบบอย่างเพื่อให้เด็กเลียนแบบ การปลูกฝังมโนธรรมให้แก่เด็กอาจทำได้อีกคือ แสดงออกมาในรูปนิทานและการเล่นสำหรับเด็ก เพราะเด็กวัยนี้นิยมเรื่องสมมุติและการเล่น ทั้ง 2 วิธีจะสร้างแบบเพื่อให้เด็กได้เลียนแบบและเรียนรู้โดยไม่รู้สึกตัว และไม่ต้องมีการบังคับฝืนใจ

3.6 พัฒนาการทางความคิด (Cognitive Development)

ในช่วงอายุ 2 – 6 ขวบ พัฒนาการทางความคิดของเด็กแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะ ที่ 1 อายุระหว่าง 2 – 4 ขวบ ยังยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่รู้จักคิดแบบใจเขาใจเรา ไม่สามารถคิดได้ว่าคนอื่นมีความคิดแตกต่างไปจากตนอย่างไร คิดเห็นแต่ด้านที่เหมือนกัน ยังไม่เห็นส่วนที่ต่างกันในวัตถุหรือเหตุการณ์ เช่น เด็กชนบท ได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า นั่นแน่ะ นายอำเภอ ต่อมาเด็กเห็นคนใส่เสื้อกางเกงสีกากี ก็คิดว่าเป็นนายอำเภอทุกคน ระยะที่ 2 อายุระหว่าง 4 – 7 ขวบ เด็กรู้จักสังเกตเห็นความแตกต่าง ทำให้ความคิดพัฒนาถึงขั้นรู้คิดเปรียบเทียบ คิดแยกวัตถุออกเป็นหมวดหมู่ขั้นตอนได้ (Classification or Categorization) รู้จักคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ (Associative thinking) ระหว่างสิ่งต่างๆ ได้

4. วัยเด็กตอนปลาย หรือ วัยเข้าโรงเรียน (Late Childhood or School Age)

ระยะวัยเด็กตอนปลายประมาณอายุตั้งแต่ 6 ขวบ จนถึง 12 – 13 ขวบ วัยนี้ถือว่าเป็นวัยเปลี่ยนชีวิตทางสังคม จากสังคมในบ้านไปสู่สังคมนอกบ้าน

4.1 พัฒนาการทางสังคม

วัยเด็กตอนปลายมีลักษณะ มีลักษณะพัฒนาการทางสังคมที่เด่นชัดคือ เด็กเริ่มออกจากบ้าน ไปสู่หน่วยสังคมอื่น จุดศูนย์กลางสังคมของเด็กคือ โรงเรียน เด็กจะเรียนรู้บทบาทใหม่คือ การเป็นสมาชิกของกลุ่มเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เด็กมีโลกใหม่อีกโลกหนึ่งคือ โลกเพื่อนร่วมวัย (The World of Peer) สัมพันธภาพกับเพื่อนในกลุ่มจะสอนชีวิตกลุ่ม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เด็กจะได้รับการเรียนรู้ระเบียบกฎเกณฑ์ ความประพฤติที่ต้องปฏิบัติในสังคม บทบาทต่างๆ ที่มนุษย์ต้องกระทำในการอยู่ร่วมกับเป็นหมู่คณะ เช่น ทำตัวอย่างไรจึงจะเข้ากับเพื่อนได้

เมื่อเด็กเริ่มออกจากบ้านมาสู่โรงเรียน เด็กรู้สึกว้าเหว่ ขาดที่พึ่งทางความคิดและอารมณ์ ตอนแรกจะยังคงสร้างสัมพันธภาพกับครูและผู้ใหญ่นอกบ้านที่จะต้องมีความสัมพันธ์กับเขา แต่ต่อมาเด็กเริ่มตีตัวจากเพราะพบว่าการรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมวัยหลายๆ คน ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ สนุกสนาน มีความเข้าอกเข้าใจ และความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันได้ยั่งยืนกว่า แน่นแฟ้นกว่า ถ้าเด็กสามารถแสวงหากลุ่มเช่นนี้ได้ เด็กจะเห็นความสำคัญของสังคมในบ้านและผู้ใหญ่นอกบ้านน้อยลง กลุ่มเริ่มมีอิทธิพลต่อเด็กในด้านอารมณ์ ความนึกคิด ทัศนคติ ความมุ่งหวัง ความปรารถนา การประพฤติตนตามบทบาททางเพศ ค่านิยม อะไรเหมาะ ดี ควร ไม่ควร ฯลฯ ถ้าบรรดาสิ่งที่มีอิทธิพลต่อเด็ก มีลักษณะใกล้เคียงกันกับลักษณะที่เด็กได้รับการอบรมจากทางบ้าน ความขัดแย้งระหว่างเด็กกับบิดามารดาจะมีไม่มากนัก ถ้าไม่มีลักษณะใกล้เคียงกันกับผู้ปกครอบเด็กจะรู้สึกว่ามีความขัดแย้งระหว่างตนกับผู้ปกครองสูง

การรวมกลุ่มของเด็กก่อให้เกิดการสร้างลักษณะนิสัยแข่งขัน (Competition) และนิสัยร่วมมือ (Cooperative) ซึ่งจะติดตัวสืบไปภายภาคหน้า เด็กชายมีนิสัยชอบแข่งขันมากกว่าเด็กหญิง ส่วนเด็กหญิงให้ความร่วมมือและออมชอมกันมากกว่าเด็กชาย นอกจากนี้การร่วมกลุ่มยังทำให้เด็กได้รับการตอบสนองความต้องการทางสังคมขั้นพื้นฐาน (Basic Social Needs) เช่น การได้รับการยอย่อง การได้เป็นบุคคลสำคัญ การได้รับฐานะและตำแหน่ง ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ

กลุ่มมีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กในวัยนี้ ดังได้กล่าวมา ดังนั้นการสนับสนุนให้เด็กได้เข้ากลุ่มที่เหมาะสมกับสภาพของตัว จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ มิฉะนั้นแล้วเด็กอาจไม่มีพัฒนาการสมวัย อาจสูญเสียประสบการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตที่เด็กพึงควรได้รับไปอย่างน่าเสียดาย ผู้ปกครองนอกจากจะต้องสนับสนุนเขาแล้ว ยังควรแนะนำช่วยเหลือให้โอกาสสร้างกลุ่มที่เป็นช่องทางให้เด็กได้เรียนรู้สังคมภายนอกครอบครัวด้วย

4.2 พัฒนาการทางอารมณ์

ในระยะนี้ เด็กรู้จักกลัวสิ่งที่สมเหตุสมผลมากกว่าวัยก่อน เพราะความสามารถในการใช้เหตุผลของเด็กพัฒนาขึ้น มีความรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของบุคคลอื่น รวมทั้งสัตว์เลี้ยงด้วย สิ่งที่ต้องพัฒนาในด้านอารมณ์ของเด็กในระยะนี้คือ การเข้าใจอามรณ์ของตนเอง อารมณ์ของบุคคลอื่น การรู้จักควบคุมอามรณ์ และการรู้จักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสม พัฒนาการเหล่านี้จำเป็นสำหรับสุขภาพจิตที่ดีของเด็ก ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลเด็กจะต้องช่วยเหลือเด็กดังนี้

1. เปิดโอกาสให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มจะบีบบังคับให้เด็กเรียนรู้และปรับปรุงการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกของอารมณ์ในลักษณะที่สังคมยอมรับ

2. ให้ได้เล่นออกกำลังกาย

3. ให้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น ปั้นรูป วาดรูป เขียนเรื่อง ฯลฯ

4.3 พัฒนาการทางกาย

พัฒนาการของเด็กวัย 6 ถึง 12 ขวบ เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ แต่สม่ำเสมอ พัฒนาการทางการไม่มีลักษณะเด่นพิเศษเหมือนระยะวัยทารกตอนปลาย แต่ในระหว่างนี้เป็นระยะที่เด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชายวัยเดียวกันในด้านความสูงและน้ำหนัก ลักษณะเช่นนี้ยังคงดำรงต่อไปจนกระทั่งย่างเข้าสู่ระยะวัยรุ่นตอนปลาย เด็กชายจะโตทันเด็กหญิงและล้ำหน้าเด็กหญิง เด็กในวัยนี้ไม่ชองอยู่นิ่งชอบเล่นและทำกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ความรวดเร็ว เนื่องจากการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อใหญ่น้อยและประสาทสัมผัสดีขึ้นมาก เด็กจึงอาจเล่นเกมส์ที่ซับซ้อนและกิจกรรมการเล่นชนิดสร้างสรรค์ เช่น การอ่าน การเขียน การวาดภาพ การปั้นรูป การทำการฝีมือ การแกะสลัก ฯลฯ

4.4 พัฒนาการทางความคิดและสติปัญญา

เข้าใจว่าวัตถุแม้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณะภายนอก ก็ยังคงสภาพเดิม (Conservation) ในบ้างลักษณะเช่น ปริมาณ น้ำหนัก และปริมาตร เด็กในวัยเด็กตอนต้น (ประมาณ 5-6 ขวบ) อาจพอเข้าใจได้ 2 ลักษณะคือ ปริมาณและน้ำหนัก ส่วนความเข้าใจการทรงสภาพเดิมของปริมาตร ค่อนข้างยากและเป็นลักษณะนามธรรมมากเกินไป โดยเฉลี่ยเด็กต้องอายุถึง 7 ขวบ จึงจะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ วิธีทดสอบว่าเด็กเข้าใจเรื่องนี้หรือยังนั้น เขาใช้ดินน้ำมันก้อนกลมเท่ากัน 2 ก้อน กับถ้วยแก้วเท่ากัน 2 ใบ ใส่น้ำปริมาณเท่ากัน เอาดินน้ำมันใส่ในแก้วน้ำ ถามเด็กว่าปริมาณน้ำในถ้วยทั้งสองมีระดับเท่ากันหรือไม่ เมื่อเด็กตอบว่าเท่ากันแล้ว เอาดินน้ำมันออกจากถ้วยแก้วใบหนึ่ง เด็กช่างสังเกตย่อมมองเห็นว่าระดับน้ำเปลี่ยนแปลงไป นำดินน้ำมันที่เอาออกจากถ้วยแก้วมาปั้นเป็นแท่งยาว แล้วใส่กลับลงไปในถ้วยแก้วเดิม ถ้าเด็กว่าระดับน้ำในถ้วยแก้วที่ใส่ดินน้ำมันรูปแท่งยาว จะเท่ากับระดับน้ำในถ้วยแก้วใส่ดินน้ำมันก้อนกลมหรือไม่ ถ้าเด็กคนใดสามารถตอบได้ว่าเท่ากัน แสดงว่าเด็กคนนั้นได้พัฒนาความคิด ความเข้าใจเรื่องการทรงสภาพเดิมของปริมาตรแล้ว (ในที่นี้คือปริมาตรของดินน้ำมัน)

5. วัยแรกรุ่น (Puberty)

บุคคลอายุอยู่ในช่วง 12 – 25 ปีถือว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่น ช่วงเวลาดังกล่าวมีเวลายาวนานหลายปีและในระยะเวลานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแตกต่างกันมากทั้งทางกายและพฤติกรรม จึงมีการแบ่งช่วงเวลาให้สั้นเข้าคือ ช่วงอายุประมาณ 12 ถึง 15 ปี เป็นช่วงวัยแรกรุ่น มีพฤติกรรมค่อนข้างเป็นลักษณะทางเด็ก ช่วงอายุประมาณ 16 ถึง 18 ปี เป็นระยะวัยรุ่นตอนกลาง มีพฤติกรรมก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่ ช่วงอายุประมาณ 19 ถึง 25 ปี เป็นระยะวัยรุ่นตอนปลาย มีพฤติกรรมค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่

ช่วงเวลาในระยะวัยแรกรุ่น เป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างแท้จริง ร่างการเติบโตเกือบเต็มที่ทุกส่วน ลักษณะทุติยภูมิทางเพศซึ่งยังไม่เติบโตเต็มที่ในวัยที่ผ่านมา ก็เจริญสมบูรณ์และทำหน้าที่ของมันได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญในระยะนี้มีดังนี้คือ

5.1 พัฒนาการทางกาย

พัฒนาการทางกายเป็นไปในแง่ของความงอกงาม เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์(Maturation) เพื่อทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ความเจริญเติบโตมีทั้งส่วนนอกที่มองเห็นได้ง่าย เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง การเปลี่ยนแปลงรูปหน้า สัดส่วนของร่างกาย และความเจริญส่วนภายใน เช่น การทำงานของต่อมบางชนิด โครงกระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธ์ในเด็กชาย การมีประจำเดือนของเด็กหญิง ตอนต้นๆ ของเด็กวัยนี้ ร่างกายของเด็กไม่ได้สัดส่วน เด็กรู้สึกอึดอัด เก้งก้าง รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย สุขภาพโดยทั่วไปของเด็กในวัยนี้ดีกว่าวัยที่ผ่านมา

5.2 พัฒนาการทางสังคม

เด็กให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมวัยมากกว่าในระยะเด็กตอนปลาย เด็กจับกลุ่มกันได้นานแน่นแฟ้น และผูกพันกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น กลุ่มของเด็กไม่มีเฉพาะเพื่อนเพศเดียวกันเท่านั้น แต่เริ่มมีเพื่อนต่างเพศเข้ามาสมทบด้วย เด็กที่สามารถเข้ากลุ่มได้และมีกลุ่มในระยะวัยเด็กตอนปลาย จะเข้ากับกลุ่มและมีชีวิตทางสังคมที่สนุกสนานได้ดีกว่าเด็กที่ไม่มีความสามารถดังกล่าว ในช่วงวัยที่ผ่านมาเด็กเริ่มลดความเอาใจใส่กับบุคคลต่างวัยไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กที่อายุน้อยกว่า ระยะนี้จึงเริ่มต้นชีวิตกลุ่มที่แท้จริง (Gang Age) การรวมกลุ่มของเด็กเป็นไปโดยธรรมชาติ เด็กเลือกเป็นสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่นเป็นกลุ่มที่เข้าได้กับแนวนิยม แบบบุคลิกภาพ ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของครอบครัว ตลอดจนความสนใจ ค่านิยม สติปัญญา ความมุ่งหวังในชีวิต และอื่นๆ การรวมกลุ่มช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนปัญหาและความรู้สึกที่คับอกคับใจ ช่วยสนองความต้องการทางสังคม เช่น การเป็นบุคคลสำคัญ การต่อต้านผู้มีอำนาจ การหนีสภาพน่าเบื่อของบ้าน

ส่วนสัมพันธภาพระหว่างเด็กชายเด็กหญิง เปลี่ยนไปจากวัยเด็กต้อนปลาย เด็กชายและเด็กหญิงเริ่มสนใจซึ่งกันและกันและมีความพอใจในการพบปะสังสรรค์กัน ร่วมเล่น เรียน ทำงาน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมื่อเด็กชายและเด็กหญิงเริ่มสนใจกันและกันแล้ว ทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มให้ความสำคัญต่อการประพฤติปฏิบัติตามบทบาททางเพศของตน (Sex Role) ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นการลำบากมากนักสำหรับเด็กหญิงและเด็กชายที่มีพัฒนาการทางด้านนี้ปกติในวัยที่ผ่านมา คือมีบุคคลให้เด็กได้เลียนแบบบทบาททางเพศ การเลียนและเรียนบทบาททางเพศของเด็กในระยะนี้ ไม่จำกัดว่าเลือกเลียนเฉพาะบุคคลที่เด็กรักและพบเห็นในบ้านที่เป็นเพศเดียวกับตน แต่ขยายวงมาเป็นเพื่อนร่วมวัย บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ในวงการบันเทิง ธุรกิจ ในหนังสืออ่านเล่น และบุคคลอื่นๆ ที่เด็กได้รู้จักและพบเห็น เด็กเลือกใครมาเลียนแบบนั้น ขึ้นอยู่กับรากฐานบุคลิกภาพดั้งเดิมของเด็ก และเป็นเช่นนี้ไปจนสิ้นสุดวัยรุ่น ละทิ้งการเลียนแบบบทบาททางเพศจากบิดามารดาหรือบุคคลในครอบครัว เป็นระยะที่เรียกว่า พอกันที่สำหรับการเลียนบทบาททางเพศจากพ่อแม่ และติดพ่อแม่ (Goodbye to Oedipus)

กลุ่มมีความสำคัญต่ออนาคตและชีวิตจิตใจของเด็กเป็นอย่างมาก ครอบครัวเริ่มมีอิทธิพลน้อยลง ฉะนั้นลักษณะชั่วดีของกลุ่มจึงเป็นเครื่องชี้ชะตาชีวิตของเด็กในระยะวัยรุ่นและระยะผู้ใหญ่ ประดุจเดียวกับครอบครัวมีความสำคัญต่อกระบวนการของชีวิตแต่ละคน ในระยะวัยทารกและวัยเด็ก

การเล่น

การเล่นยังคงมีความสำคัญสำหรับเด็กวัยแรกรุ่น เพราะเป็นเครื่องมือสนองความต้องการทางสังคม อารมณ์และสติปัญญา เด็กชอบเล่นทั้งเพื่อนเพศเดียวกันและต่างเพศโดยเฉพาะการเล่นกับเพื่อนต่างเพศทำให้การเล่นสนุกสนานเข้มข้นยิ่งขึ้นเด็กชายมักจะชอบเล่นกีฬาที่หักโหมรุนแรงมากกว่าเด็กหญิง

5.3 พัฒนาการทางอารมณ์

การเปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตทางร่างกาย ทั้งภายในและภายนอกกระทบกระเทือนต่อแบบแผนอามรณ์ของเด็กวัยรุ่น เด็กมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย สับสน อ่อนไหว มีความเข้มของอารมณ์สูง อามรณ์ของเด็กวัยรุ่นมีทุกประเภทเช่น เบื่อหน่าย เหงา อิจฉา กังวล โกรธ อาฆาต ดื้อดึง ต่อต้านอำนาจ ฯลฯ เด็กแต่ละคนเริ่มแสดงบุคลิกอารมณ์ประจำตัวออกมาให้ผู้อื่นทราบได้บ้างแล้ว เช่น อามรณ์ร้อน อารมณ์ขี้วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหวง่าย เจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉา ฯลฯ เด็กสามารถรับรู้ลักษณะเด่นด้อยเกี่ยวกับตนเองและจะยิ่งทวีขึ้นในระยะวัยรุ่น

5.4 พัฒนาการทางความคิด

พัฒนาการทางความคิดของเด็กอายุประมาณ 11 ขวบขึ้นไป มีชื่อเรียกรวมว่า รู้คิดถูกระบบ (Formal operation) เด็กพยายามคิดให้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ว่าด้อยกว่าผู้ใหญ่ในเชิงประสบการณ์และความชำนิชำนาญในการรู้คิด ตัวอย่างความคิดบางแบบที่ได้พบมากได้แก่ รู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผลไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องการคิดนึกด้วยตัวเอง ระยะนี้เด็กจึงรู้สึกชิงชังคำสั่งบังคับ คำสั่งให้เชื่อและต้องคล้อยตาม รู้คิดด้วยภาพความคิดในใจ (Mental images) ทำให้สามารถคิดเรื่องนามธรรมยากๆ ได้ เด็กวัยแรกรุ่นชอบวิพากวิจารณ์ ชอบทายปัญหา เด็กที่มีสมองดีสามารถมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นและดีขึ้นกว่าเดิม เด็กสมองไม่ค่อยดีช่วงความสนใจงานเฉพาะหน้ามักสั้นและทำงานยากๆ ไม่ค่อยได้ แววฉลาดของเด็กเริ่มปรากฏให้เห็นชัดแล้ว

การค้นหาตัวเอง (Search for Identity)

การค้นหาตัวเองก่อให้เกิดความเข้าใจว่าตนเองเป็นบุคคลคนหนึ่ง (Self awareness) การค้นหาตนเองมีแง่มุมต่างๆ เช่น ความสนใจ รสนิยม ความถนัด ความสามารถที่แท้จริง ความชอบความไม่ชอบแม้ว่าเด็กจะค้นหาตัวเองแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายจึงมีผู้ให้คำอธิบายลักษณะเช่นนี้ของเด็กว่าเป็นแบบ “ไม่หยั่งรู้” (The great Unknow)

6. วัยรุ่น (Adolescence)

Adolescence หมายถึงความเจริญงอกงามพ้นจากความเป็นเด็ก ในจิตวิทยาหมายถึงภาวะของบุคคลอายุประมาณ 16-25 ปี

6.1 ลักษณะอารมณ์

ลักษณะของอารมณ์สืบเนื่องมาจากอารมณ์ของเด็กวัยแรกรุ่น จึงคล้ายคลึงกันอยู่มาก ในบางรายความเข้มข้นของอารมณ์อาจรุ่นแรงขึ้นกว่าวัยแรกรุ่น อารมณ์ดังกล่าวบางที่เรียกว่าเป็นแบบ พายุบุแคม(Storm and Stress) อารมณ์ รัก ชอบ โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยาฯลฯ จะเป็นไปอย่างรุนแรง บุคคลต่างวัยจึงต้องใช้ความอดทนมากเพื่อจะเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา

สาเหตุของความสับสนทางอารมณ์

1. เป็นช่วงเปลี่ยนวัย ร่างกายเปลี่ยนแปลงไม่ทราบว่าที่ถูกที่ควรในการปฏิบัติต่อบุคคลอื่นนั้นควรปฏิบัติอย่างไร

2. เด็กจะต้องเลือกอาชีพ การเลือกอาชีพเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตจิตใจ อารมณ์ ความต้องการของเด็กและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ความสับสนใจเกิดขึ้นง่ายเพราะเด็กอยู่ภายใต้ความกดดันและ ข้อจำกัดของระบบการศึกษา สติปัญญา ฐานทางเศรษฐกิจ และยังไม่แน่ใจในความถนัด ความสนใจ ความต้องการ และบุคลิกภาพของตนเอง

3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้เด็กปรับตัวไม่ทัน

6.2 พฤติกรรมสังคม

สังคมวัยรุ่นเป็นกลุ่มของเพื่อนร่วมวัย ประกอบด้วยเพื่อนทั้ง 2 เพศ เด็กรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อนร่วมวัยมากกว่ากับเพื่อนต่างวัย สัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมวัยถึงความเข้มข้นสูงสุดประมาณระยะตอนกลางของวัยรุ่น

การคบเพื่อนร่วมวัยเป็นพฤติกรมสังคมที่มีความสำคัญต่อจิตใจของวัยรุ่น แต่การคบเพื่อนก็ย่อมมีทั้งคุณและโทษ เพื่อนอาจเป็นผู้ประคับประคองจิตใจของวัยรุ่นในยามทุกข์ร้อนแต่ในมุมกลับกัน เพื่อนก็อาจชักนำวัยรุ่นไปในทางเสื่อมถอย ผู้เป็นอาชญากรวัยรุ่นมากมายในแทบทุกประเทศ เมื่อค้นหาสาเหตุก็มักจะพบว่า ถูกเพื่อนชักจูง ประวัติเด็กวัยรุ่นตามสถานศึกษาที่เสียคน เสียเด็กไปโดยประการต่างๆ เช่น เกเร ติดยาเสพติด ล้วนมีสาเหตุสำคัญจากการถูกเพื่อนชักจูง เพราะการมีกลุ่มทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า กลุ่มจึงมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นถ้าคบเพื่อนไม่ดีก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้

การเข้ากลุ่มนอกจากเป็นช่องทางให้เด็กได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานทางสังคมในแง่ต่างๆ เช่น ฐานะ ตำแหน่ง คำยกยอง มีเพื่อนผู้เข้าใจและร่วมทุกข์ร่วมสุขแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ชายหญิงได้รู้จักกันและอาจนำไปสู่ความรัก (Puppy love) ตามปกติเด็กหญิงมักนิยมเพื่อนชายที่มีอายุมากกว่าตน เพราะหญิงมีกระบวนการพัฒนาการเร็วกว่าชายวัยเดียวกันประมาณ 2 ปี กลุ่มในระยะนี้มีลักษณะมั่นคงมากกว่าในวัยเด็ก เพราะเด็กวัยรุ่นใช้เหตุผลและความนึกคิดในการเข้ากลุ่มมากกว่า ความสัมพันธ์ในกลุ่มค่อนข้างยั่งยืน อาจยั่งยืนไปจนเป็นผู้ใหญ่

6.3 การเลือกอาชีพ

เด็กโตพอที่จะรู้ถึงความสำคัญของอาชีพเช่น อาชีพนำมาซึ่งสถานทางเศรษฐกิจสังคม เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่เด็กยังสับสนวุ่นวายใจเนื่องจากยังไม่รู้จักตัวเองดีพอในด้านบุคลิกภาพ ความถนัด ความสนใจ

6.4 ความต้องการทางจิตใจ

ความต้องการที่เด่นๆ และมีความเข้มสูงได้แก่

1. ความต้องการอิสระเป็นตัวของตัวเอง เด็กวัยรุ่นเชื่อว่าลักษณะความเป็นอิสระเป็นเครื่องหมายความเป็นผู้ใหญ่

2. ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่ ต้องการคำยกย่องทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยเฉพาะจากเพื่อนในกลุ่ม

3. ต้องการมีประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ฝ่าฝืนกฎระเบียบ ความต้องการเช่นนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กเสพยาเสพติด ประพฤติผิดทางเพศ และต่อต้านกฎเกณฑ์ของสังคม

4. ความต้องการรวมพวกพ้อง มีกลุ่มก้อน เป็นความต้องการค่อนข้างสูงซึ่งมีผลต่อความอบอุ่นและความมั่นคงทางจิตใจ

5. ความต้องการความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เพราะเด็กมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย เด็กจึงความต้องการเช่นนี้ค่อนข้างสูง

6. ต้องการความถูกต้องและยุติธรรม

7. ต้องการความงดงามทางร่างกายเพราะทำให้เข้ากลุ่มง่ายและดึงดูดเพศตรงข้าม วัยรุ่นจึงพิถีพิถันในเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ทรงผม เครื่องประดับ สุขภาพอนามัย เด็กวัยรุ่นที่มีความสุขคือ ผู้ที่ได้รับสิ่งสนองสมความต้องการของเขา การตั้งเป้าระดับของความต้องการ ลักษณะของความต้องการ จึงเป็นเรื่องที่เด็กต้องคำนึงให้อยู่ในของเขตที่จะทำได้สำเร็จ เพื่อประกันความไม่สมปรารถนา เพราะถ้าไม่สมปรารถนาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งรุนแรงแล้ว ย่อมมีความรู้สึกผิดหวังลึกซึ่งและยาวนาน

6.5 ความสนใจ

ความสนใจมีขอบข่ายกว้างขวาง สนใจหลายอย่างแต่ไม่ลึกซึ้งมาก เพราะเด็กยังไม่เข้าใจเรื่องตัวเอง ยังเป็นระยะลองผิดลองถูก ความสนใจของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ได้แก่

1. สนใจการศึกษา สภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันกระตุ้นให้เด็กเข้าใจและเห็นความสำคัญของการศึกษา

2. สนใจช่วยเหลือบุคคลอื่นที่เห็นว่าเขาได้รับความลำบากและไม่ได้รับความยุติธรรม

3. สนใจกิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมที่เห็นว่าเป็นของใหม่และมีประโยชน์ได้พบปะกับเพื่อนต่างเพศและระบายความเคร่งเครียดของอารมณ์

4. สนใจวัฒนธรรมประเพณี ศาสนาปรัชญา อุดมคติ สนใจมีเพื่อนสนิทต่างเพศ

6.6 การนับถือวีรบุรุษ (Heroic Worship)

ความต้องการเลียนแบบผู้ที่ตนนิยมชมชอบมีมาก่อนแล้วตั้งแต่วัยเด็กก่อนวัยรุ่น แต่ความต้องการประเภทนี้แรงขึ้นในระยะวัยรุ่นเพราะ

1. ความต้องการรู้จักตนเอง การยกบุคคลมาเป็นแบบให้นับถือและเลียนแบบช่วยลดความไม่รู้จักหรือความไม่เข้าใจตนเอง

2. แสวงหาแบบอย่างเพื่อดำเนินรอยตามแนวทางที่ถูกที่ควร เพื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้ใหญ่ผู้ที่เด็กนับถือว่าเป็นวีรบุรุษ (Heroes) หรือเป็นแบบ (Models) นั้นมีได้มากกว่าหนึ่งคน อาจเป็นเพศเดียวกับเด็กหรือต่างเพศ วัยเดียวกันหรือต่างวัย ร่วมสมัยหรือต่างสมัย อาจเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ดาราภาพยนต์ นักกีฬาที่มีชื่อเสียง ฯลฯ

การเลือกบุคคลที่น่านิยมมาเลียนแบบนั้นในระยะวัยรุ่นผิดจากในระยะวัยเด็ก ที่ต้องอาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นแรงจูงใจ สำหรับเด็กวัยรุ่นใช้เหตุผลและขึ้นกับอิทธิพลของกลุ่มเพื่อน ดังนั้นผู้ที่เด็กเลือกมาเป็นแบบ จึงอาจเป็นบุคคลที่เด็กไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยก็ได้ การเลือกตัวอย่างให้เด็กเลียนแบบโดยการชักจูง การแสดงแบบอย่าง การอ่านหนังสือประวัติบุคคลสำคัญจากวงการต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะวีรบุรุษมีอิทธิพลต่อ บุคลิกภาพ ความมุ่งหวังในชีวิต การเลือกอุดมคติ ปรัชญา ค่านิยมต่างๆ เป็นกระบวนการสืบเนื่องกันกับการนับถือวีรบุรุษ

6.7 การค้นหาตัวเอง การเข้าใจตนเอง

เด็กวัยรุ่นประสบการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็วในทางร่างกาย และในทางพฤติกรรม ที่ต้องทำตนตามบทบาทแห่งเพศหญิงหรือชาย ความสำนึกว่าต้องทำตนให้พ้นความเป็นเด็ก ความจำเป็นต้องเลือกอาชีพ ปัจจัยเหล่านี้และอื่นๆ ทำให้เด็กวัยรุ่นอยากรู้นักว่าตนเองจะต้องประพฤติปฏิบัติตนตามรูปแบบอย่างไร ซึ่งเป็นพัฒนาการทางความคิดที่สำคัญที่สุดประจำวัย เรียกพัฒนาการนี้ว่า “การค้นหาตนเอง”

กว่าเด็กวัยรุ่นจะพบตนเอง คือเข้าใจตนเองแจ่มแจ้ง อาจต้องประสบภาวะสับสนทางอารมณ์ไม่น้อย บางคนหลงตัวเองในลักษณะตีราคาตัวเองสูงเกินจริง บางคนดูถูกตนเองในลักษณะตีราคาตนเองต่ำเกินจริง การค้นหาตนเองเริ่มต้นมาแล้วตั้งแต่วัยทารกตอนปลาย แต่จะต้องมีโครงร่างของตนสมบูรณ์ในระยะวัยรุ่น จึงจะเป็นบุคคลที่มีความมั่นคงในชีวิตและจิตใจสืบต่อไปในอนาคต มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจตนเองหาความมั่นคงในชีวิตและจิตใจไม่ได้

คนที่ค้นพบตัวเองจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความภาคภูมิใจในตนเองมีหลักการและแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนเองเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กที่ยังไม่ค้นพบตัวเองจะสับสนและอาจก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคมได้ เราสามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้โดย

1. ในการอบรมเลี้ยงดูพ่อแม่ต้องปฏิบัติต่อลูกให้สอดคล้องกัน

2. หาตัวแบบที่เหมาะสมให้เด็กเลียนแบบ

3. สื่อมวลชนควรเสนอข่าวสารข้อมูลที่เหมาะสมกับวัยรุ่นไม่ควรเสนอแต่เรื่องรุนแรงหรือกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

6.8 ความขัดแย้งระหว่างวัยรุ่นกับผู้ปกครอง

ลักษณะความขัดแย้งเกิดจากเด็กวัยรุ่นสำคัญตัวว่าพ้นจากความเป็นเด็ก เกิดความต้องการประพฤติตนตามพฤติกรรมที่นึกนิยม แต่ผู้ปกครองถือว่าตนเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลความประพฤติของเด็ก ประสงค์ให้เขาประพฤติตามพฤติกรรมอย่างอื่น เมื่อวัยรุ่นไม่ปฏิบัติตามก็เกิดความขัดแย้งขึ้น ตัวอย่างความขัดแย้ง เช่น

1. ความขัดแย้งทางการแต่งกาย

2. ความขัดแย้งในการคบเพื่อนต่างเพศ

3. ความขัดแย้งในการต้องการความเป็นอิสระในการไปไหนมาไหน

การบรรเทาความขัดแย้ง ผู้ปกครองควรให้ความเห็นอกเห็นใจให้ความรักความอบอุ่นและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในช่วงวัยรุ่น ให้วัยรุ่นได้มีอิสระและความรับผิดชอบต่อตัวเองบ้างตามสมควรเพื่อช่วยลดความเคร่งเครียดและความกดดันทางอารมณ์ในส่วนของวัยรุ่น วัยรุ่นควรเปิดใจกว้างรับฟังทัศนะผู้อื่น คิดอย่างมีเหตุผล มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รู้จักแต่งกายให้เหมาะสมกับวัยและวัฒนธรรม ตลอดจนควรให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ

7. วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (Early Adulthood)

วัยผู้ใหญ่ เป็นเวลายาวนานโดยเฉลี่ยราวๆ 50 ถึง 65 ปี นักจิตวิทยาพัฒนาการบางท่านจึงแบ่งช่วงวัยผู้ใหญ่ออกเป็น 3 ช่วงคือ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง และวัยชรา วัยผู้ใหญ่ตอนต้นประมาณอายุตั้งแต่ 25 ถึง 40 ปี แบบแผนพัฒนาการที่น่าสนใจในระยะวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่น่าสนใจได้แก่เรื่อง การประกอบอาชีพ การเลือกคู่ครอง การปรับตัวในชีวิตสมรส การปรับตัวเพื่อทำหน้าที่บิดามารดา และการปรับตัวในชีวิตโสด

วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทางการพัฒนาเต็มที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปบุคคลมักมีกายแข็งแรง ในด้านอารมณ์นั้นผู้ที่จะเข้าถึงภาวะอารมณ์แบบผู้ใหญ่ มีความคับข้องใจน้อย ควบคุมอามรณ์ได้ดีขึ้น มีความแน่ใจ และมีความมั่นคงทางจิตใจดีกว่าในระยะวัยรุ่น ส่วนด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือลักษณะพัฒนาการทางสังคมนั้น ระยะนี้การให้ความสัมพันธ์กับกลุ่ม (Peer Group) เริ่มลดน้อยลง เปลี่ยนมาสู่การมีสัมพันธภาพและผู้พันกับเพื่อนต่างเพศแบบคู่ชีวิต จุดศูนย์กลางของสัมพันธภาพคือครอบครัว ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีคู่ครองและครอบครัว ยังคงให้ความสำคัญต่อกลุ่มเพื่อนร่วมวัย แต่ความเข้มของความผูกพันและภักดีเริ่มลดน้อยลง จำนวนสมาชิกของกลุ่มมักจะน้อยลงด้วย

7.1 การประกอบอาชีพ

การประกอบอาชีพ เป็นพฤติกรรมที่จำเป็นและสำคัญประจำวัย เพราะเป็นเครื่องชี้ความเป็นผู้ใหญ่ นอกจากทำให้มีความรู้สึกว่ามีฐานะทางการเงินแล้ว ยังทำให้เกิดความรู้สึกมีอิสระเสรี ความมีหน้ามีตา ความมั่นคงทางจิตใจ การตั้งตัวได้เป็นหลักฐาน การยอมรับในสังคมและความสำเร็จในชีวิตด้านต่างๆ

ใครเลือกอาชีพอะไร และมีความก้าวหน้าในด้านอาชีพมากน้อยเพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายประการ เช่น เพศ การเตรียมตัว การศึกษาอบรมในวิชานั้นๆ ความต้องการทางสังคม สภาพเศรษฐกิจ สถานภาพทางครอบครัว โอกาส เพื่อนร่วมอาชีพ เป็นต้น

ชายกับหญิง มีความแตกต่างดันในเชิงจิตวิทยาบางประการดังนี้

1. ชายมีความมักใหญ่ใฝ่สูง มุ่งความสำเร็จของชีวิตจากผลการทำงานมากกว่าหญิง ไม่ชอบทำงานจำเจ ต้องการเป็นหัวหน้างาน ชองงานท้าทายสมรรถภาพมากกว่าหญิง

2. หญิงชอบทำงานคล้อยตามวิสัยแห่งเพศ เช่นงานเกี่ยวกับเด็กเล็ก คนป่วย คนชรา งานที่ต้องระมัดระวังถี่ถ้วนในรายละเอียด งานซ้ำๆ ไม่ต้องใช้การตัดสินใจมากๆ ไม่ชอบงานรับผิดชอบสูงๆ และทำงานเป็นหมู่คณะได้ไม่ดีเท่าชาย

3. หญิงแต่งงานแล้วที่ประกอบอาชีพด้วย เอาจริงเอาจังในการทำงานน้อยกว่าหญิงโสด อาจเป็นเพราะว่าต้องให้ความสนใจและเวลากับครอบครัว

ความสำเร็จมากน้อยในการประกอบอาชีพมีอิทธิพลต่อความสุข ความทุกข์ ความเจริญก้าวหน้าของชีวิต ฐานะทางสังคมแบะเศรษฐกิจส่วนบุคคล ทั้งยังมีผลต่อความสงบราบรื่นในครอบครัวและพัฒนาการของบุคคลวัยต่างๆ ในบ้านด้วย ความไม่ผาสุขในการประกอบอาชีพทำงานอาจเกิดจากหลายสาเหตุผสมผสานกัน เช่น สถานที่ทำงานอยู่ห่างไกลถิ่นที่อยู่ ลักษณะงานไม่ตรงตามบุคลิกภาพ นิสัย ความสามารถของตน ขาดการเตรียมตัวในการประกอบอาชีพนั้นๆ หรือเข้ากับเพื่อนร่วมงานและนายจ้างไม่ได้

7.2 การเลือกคู่ครอง (Selecting a Mate)

การแสวงหาคู่ครองเป็นพฤติกรรมปกติของคนในวัยนี้ อาจมีการกระทำมาตั้งแต่ ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่สำหรับบางรายก็จะเริ่มตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ชนิดของการเลือกคู่ครองเป็นแบบเอาจริงเอาจัง และเลือกเฟ้นมากกว่าเดิม

หลักเกณฑ์สำหรับการเลือกคู่ครองที่จะนำไปสู่ชีวิตสมรสที่ผ่าสุข ได้มีผู้เสนอแนะไว้หลายประการด้วยกัน ดังนี้

1. มีความคล้ายคลึงกันใน รสนิยม ค่านิยม ระดับการศึกษา ความสนใจ การใช้เวลาว่าง ศาสนา ความเชื่อ รากฐานทางวัฒนธรรม สภาพเศรษฐกิจ ลักษณะครอบครัว เชื้อชาติ

2. มีบุคลิกภาพที่ไปด้วยกันได้ ทั้งในแง่ที่คล้ายกับและไม่เหมือนกัน หรือที่เป็นไปในแบบตรงข้าม เช่น คนอารมณ์ร้อนกับคนอารมณ์เย็น ทั้งนี้เพื่อความสมดุลของชีวิต

3. ชายและหญิงมีอายุใกล้เคียงกัน ควรมีอายุห่างกันไม่เกิน 10 ปี และตามปกติชายควรมีอายุมากกว่าหญิง

4. มีอาชีพเลี้ยงตัวพอที่จะสร้างครอบครัวให้มีความสุขได้

5. มีความรักใคร่ผูกพัน มีความนับถือและนิยมชมชอบซึ่งกันและกัน มีรสนิยมทางเพศที่ไปด้วยกันได้ และมีความพยายามเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน

6. โดยกว้างๆ ผู้หญิงมักมองผู้ชายในแง่ของความสามารถ ความเป็นคนเด่นด้านใดด้านหนึ่ง เช่น กีฬา ดนตรี ความเป็นผู้นำ ความสามารถทางด้านวิชาการ ความเข้าอกเข้าใจ การให้ความคุ้มครอง การมีลักษณะสมชาย รูปร่างหน้าตาของชายมีความสำคัญน้อย แต่ฝ่ายชายมักมองฝ่ายหญิงในด้านรูปร่างหน้าตา ลักษณะสมหญิง ความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ความสามารถในการเข้าสังคม

7.3 การปรับตัวในชีวิตสมรส

เมื่อหญิงและชายแต่งงานและมาอยู่ร่วมกันแล้ว จะต้องปรับตัวให้ไปด้วยกันได้ แม้ว่าการแต่งงานนั้นได้มีการไตร่ตรองอย่างรอบครอบ ตามปกติหญิงปรับตัวให้เข้ากับชาย ง่ายกว่าชายปรับตัวให้เข้ากับหญิง อย่างไรก็ตามต้องมีการปรับตัวทั้ง 2 ฝ่าย หญิงและชายจะต้องปรับตัวในบทบาทใหม่คือ บทบาทสามีและภรรยา ความยากลำบากในการปรับตัวอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าหญิงและชายยังไม่มีวุฒิภาวะทางจิตใจ ไม่มีการเตรียมตัวทางเศรษฐกิจทางสังคมเพื่อใช้ชีวิตคู่ ไม่รู้จักกันดีพอ หรือวัยของคู่สมรสต่างกันมาก

7.4 การปรับตัวเพื่อทำหน้าที่บิดามารดา

ควบคู่ไปกับการปรับตัวเมื่อมีบทบาทของสามีภรรยาก็คือ การปรับตัวเพื่อทำหน้าที่บิดามารดา ถ้าคู่สมรสประสงค์มีชีวิตครอบครัวที่ผาสุขและประสบความสำเร็จควรสนใจหาความรู้และปฏิบัติตามวิธี การวางแผนครอบครัว

การเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่เล็กจนเป็นหนุ่มสาวที่มีความมั่นคงทางจิตใจ และเลี้ยงตัวเองได้นั้น บิดามารดาจะต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็กว่ามีความต้องการทางร่างกายและจิตใจอย่างไร การเตรียมตัวทางเศรษฐกิจเพื่อลูกและการให้ลูกเข้าโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยสำหรับการเป็นบิดามารดา แต่การให้ความรักความอบอุ่น ความสนใจและเข้าใจเด็ก มีความสำคัญมาก เด็กที่เป็นอาชญากร มักมีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ไม่ผาสุข

7.5 การอยู่เป็นโสด

เมื่อย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนส่วนมากแต่งงานมีครอบครัวมีบุตรธิดา แต่มีคนบางกลุ่มไม่เข้าอยู่ในภาวะเช่นนี้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น อุทิศชีวิตเพื่องาน เพื่ออุดมการณ์ มีความรับผิดชอบกับครอบครัวเดิมของตนจนไม่มีเวลาเอาใจใส่ในเรื่องการมีครอบครัวอย่างจริงจัง โรคภัยไข้เจ็บ สิ่งแวดล้อมไม่อำนวย มีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ญาติพี่น้องไม่สนับสนุน หรือเป็นความประสงค์ของผู้นั้นเองเพราะชอบชีวิตโสด

ปัญหาของคนโสดก็คือ ความรู้สึกด้อยและว้าเหว่ ผู้ที่จะดำเนินชีวิตคนโสดได้อย่างผาสุขคือ ผู้พยายามแก้ไขอารมณ์ดังกล่าวนี้โดยวิธีต่างๆ เช่น ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียน ทำงานอดิเรก อุทิศตนเพื่อกิจกรรมสังคม ใช้ชีวิตให้หมดไปกับงาน

8. วัยกลางคน (Middle Age)

วัยกลางคนอายุประมาณตั้งแต่ 40 ถึง 65 ปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นหนุ่มสาว และการเข้าสู่วัยชรา สมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเสื่อมถอย การเปลี่ยนแปลงทางกายเช่นนี้ มีผลสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจ และสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทั้งหญิงและชายวัยกลางคนต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่านี้ เพื่อเป็นคนวัยกลางคนที่ผาสุข การปรับตัวที่สำคัญเช่น การปรับตัวทางอาชีพ การปรับตัวในบทบาทของสามีภรรยา การปรับตัวต่อการตายของคู่สมรสและความเป็นหม้าย การปรับตัวในชีวิตทางเพศและการเปลี่ยนวัยของชาย การปรับตัวต่อภาวะวิกฤติวัยกลางคนของหญิง ในด้านความสัมพันธ์ของคนกลางคนต่อบุตรธิดานั้นก็ต้องเปลี่ยนไป ระยะนี้คนวัยกลางคนมีความสัมพันธ์กับบุตรธิดาวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ เขย สะใภ้ วิธีสัมพันธ์นั้นต้องมีลักษณะแตกต่างไปจากเมื่อลูกยังเป็นเด็กเล็ก แต่วิธีใดจะเหมาะสมนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและครอบครัว คนวัยกลางคนต้องให้ความโอบอุ้มดูแลพ่อแม่ของตนซึ่งเข้าสู่วัยชรา อารมณ์ประจำวัยมีหลายประการที่สำคัญ เช่น อารมณ์อยากกลับเป็นหนุ่มสาว อารมณ์เศร้า และลักษณะอารมณ์ของหญิงกลางคนเมื่อหมดระดู

ช่วงวัยกลางคน เป็นช่วงที่คนมองตนด้านในมากยิ่งขึ้น เปลี่ยนแปลงภาพพจน์เกี่ยวกับตนเอง คนวัยกลางคนต้องสามารถพัฒนาตนเองให้เข้าถึงวุฒิภาวะทางจิตใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นฐานสำหรับการเผชิญกับปัญหาประจำวัยและการปรับตัวที่เหมาะสม ความสนใจของคนวัยกลางคนเป็นไปในแนวลึกมากกว่าแนวกว้าง คนวัยกลางคนควรมีกิจกรรมที่เป็นงานอดิเรก เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและเตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อเข้าสู่วัยชราด้วยความสุขสงบในด้านต่างๆ เช่น การดูแลรักษาสุขภาพ ที่อยู่อาศัย เงินทอง เป็นต้น

9. วัยชรา (Old Age)

วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิต บุคคลบางคนอาจมีชีวิตได้ถึงระยะวัยชรา ลักษณะพัฒนาการในวัยชราตรงกันข้ามกับระยะวัยเด็ก คือ เป็นความเสื่อมโทรม (Deterioration) และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มิใช่การเจริญงอกงาม วัยชราเริ่มตั้งแต่ประมาณอายุ 65 ปีเป็นต้นไป

9.1 หน้าที่ของครอบครัวและสังคมต่อคนชรา

แม้ว่าวัยชราเป็นช่วงเวลาที่คนทำงานไม่ได้แล้ว แต่ครอบครัวและสังคมไม่ควรลืมนึกถึงแง่ดีของคนชราในแง่ที่ว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ผ่านโลกผ่านชีวิตมามาก ประสบการณ์ของเขาจึงมีค่ามากสำหรับเด็กหนุ่มเด็กสาว การหาประโยชน์จากคนชราในแง่นี้จึงเป็นสิ่งพึงประสงค์ ในเวลาเดียวกันคนชราโดยทั่วไปก็มีความยินดีและเต็มใจให้คำปรึกษาและข้อคิดเห็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อ่อนวัยกว่า นอกจากนี้แล้วคนชรายังเป็นบุคคลที่ได้มีอุปการคุณต่อสมาชิกในครอบครัวและสังคมมาก่อน ฉะนั้นครอบครัวและสังคมจึงควรช่วยเหลือเกื้อกูลคนชรา ให้มีชีวิตที่มีความสุขตามสมควรและได้รับประโยชน์จากการดำเนินชีวิตของคนชราในเวลาเดียวกันด้วย ดังนั้นหน้าที่ที่ครอบครัวและสังคมควรปฏิบัติต่อคนชราคือ

1. สังคมเห็นค่าของคนชรา พยายามให้เขามีความรู้สึกว่าตนนั้นยังมีประโยชน์และเป็นที่ต้องการของครอบครัวและสังคม

2. บุตรหลานให้ความนับถือ ไม่เหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน อย่างไรก็ตามคนชราก็ต้องพยายามทำตนให้ลูกหลานยกย่องด้วย

3. สังคมให้ความมั่นคงทางการเงิน เช่น มีเงินบำนาญให้

4. ให้คนชราทำงานที่จะทำให้มีความสุขและเพลิดเพลิน คนชราที่ไม่มีงานทำนั้นมีปัญหาทางอารมณ์ได้ง่าย

วัยชรา เป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการของคน วัยชรามีความเสื่อมทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ความเสื่อมดังกล่าวส่งผลกระทบต่องานอาชีพ ลักษณะอารมณ์ ลักษณะสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวในสังคม แม้เป็นระยะแห่งความเสื่อม แต่บุคคลก็อาจใช้ชีวิตวัยชราได้อย่างมีความสุขคือ ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญกับความชรา รู้จักปรับตัวทางด้านร่างกาย อาชีพ และสัมพันธภาพกับผู้อื่น สังคมและครอบครัวจะมีส่วนช่วยให้ความสุขแก่คนชรา แม้ว่าคนชราจะไร้ความสามารถด้านพละกำลัง แต่คนชรายังมีค่าต่อคนหนุ่มสาว เพราะมากไปด้วยประสบการณ์และบทเรียนชีวิต มนุษย์แต่ละคนควรตั้งความหวัง ความปรารถนา และเตรียมตัว เพื่อจะใช้ชีวิตยามบั้นปลายระยะวัยชราอย่างมีความสุข

5. ขั้นของพัฒนาการ (Stages of development)

นักจิตวิทยาหลายท่านได้ศึกษาลำดับขั้นในการพัฒนาการของมนุษย์ โดยที่แต่ละท่านจะให้ความสนใจพัฒนาการในด้านต่างๆ เป็นพิเศษต่างกัน ทฤษฎีที่กล่าวถึงขั้นของพัฒนาการของมนุษย์ที่สำคัญมีดังนี้

1. Freudian Theory

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นแพทย์ที่ให้ความสนใจด้านจิตใจมนุษย์ จนได้ซื่อว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) แนวความคิดของฟรอยด์มีอิทธิพลต่อการศึกษาพัฒนาการชีวิตมนุษย์มากในสหรัฐอเมริกา (ระหว่างปี ค.ศ 1920 ถึง 1950 ) ทฤษฎีพัฒนาการชีวิตของฟรอยด์เน้นให้เห็นความสำคัญด้านแรงผลักดันทางเพศในวัยเด็กที่พัฒนาตามวัยต่อๆไป แรงผลักชนิดนี้มีชื่อเฉพาะว่า ลิบิโด(Libido) เป็นพลังจิตสำคัญในการผลักดัน และการกำหนดทิศทางให้คนเราแสดงกริยาอาการต่างๆ ได้มีการเปรียบเทียบว่า ลิบิโดเปรียบเหมือนเชื้อเพลิงในห้องเครื่องยนต์ที่เผาไหม้เพื่อให้รถยนต์วิ่งได้ฟรอยด์แบ่งขั้นพัฒนาการชีวิตมนุษย์ดังนี้

ขั้นที่ 1 เรียกว่า “ Oral State” เป็นขั้นที่เด็กอยู่ในวัยทารก ซึ่งเด็กจะมีความสุขความพึงพอใจในการใช้ปาก หากไม่ได้รับการตอบสนองที่ปากอย่างเหมาะสม เด็กจะมีลักษณะนิสัย Orial Fixation ในวัยอื่นต่อไป เช่น ดูดนิ้วมือ อมหรือเคี้ยวสิ่งของเสมอ

ขั้นที่ 2 เรียกว่า “Anal State” อายุประมาณ 2-3 ขวบ เด็กจะมีความสุขความพอใจในการกลั้นและขับถ่าย หากไม่ได้รับการตอบสนองในการกลั้นและขับถ่าย เด็กจะมีลักษณะนิสัย Anal Fixation ในวัยอื่นต่อไปเช่น เจ้าระเบียบ ก้าวร้าว

ขั้นที่ 3 เรียกว่า “Phallic State” อายุประมาณ 3-6 ขวบ เด็กมีความสุขความพอใจในการจับอวัยวะเพศของตนเองเล่น หากไม่ได้รับการตอบสนองในการจับอวัยวะเพศของตนเองแล้ว เด็กจะมีนิสัย Phallic Fixation ในขั้นต่อไป เช่น มีความวิตกกังวลเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อาจถึงขั้นชาเย็นหรือหมดความรู้สึกทางเพศก็เป็นได้ และในวัยนี้จะมี Oedipus Complex ซึ่งเป็นปมชีวิตที่เด็กชายจะรักแม่มากกว่าพ่อและเด็กหญิงจะรักพ่อมากกว่าแม่

ขั้นที่ 4 เรียกว่า “Latency State” อายุประมาณ 6-12 ขวบเด็กมีความสุข ความพอใจในการเล่น สมมุติบทบาทเป็น พ่อ แม่ ลูก จึงเป็นลักษณะแฝงหรือเลียนแบบชีวิตครอบครัวในวัยผู้ใหญ่นั่นเอง หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองก็จะมี Latency Fixation ในวัยต่อไป คือไม่กล้าจะแต่งงานมีชีวิตครอบครัว กลัวความล้มเหลวในชีวิตสมรส

ขั้นที่ 5 เรียกว่า “Genetal Stage” อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนั้น เด็กจะมีความพอใจ และความต้องการตอบสนองจากเพศตรงข้าม หากเด็กไม่ได้รับความสนใจและความรู้เรื่องเพศอย่างเหมาะสมแล้วจะทำให้เด็กประสบปัญหาเรื่องเพศเป็นอย่างมาก

เป็นที่น่าสังเกตว่าทฤษฎีนี้พยายามอธิบายถึงหลักพัฒนาการชีวิตมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งชี้ให้เห็นขั้นตอนของการเจริญเติบโตในวัยต่างๆ ที่มีปัญหาอยู่บ้าง แต่ฟรอยด์ได้เน้นประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะอารมณ์ที่ขมขื่น ปวดร้าวต่างๆ อันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านจิตใจเช่น ความต้องการมีรักร่วมเพศ เป็นปมปัญหามาจาก Fixation ในขั้น Anal หรือ Phallic เป็นต้น อย่างไรก็ตามเด็กทุกคนมิใช่ว่าจะต้องมีปัญหา ถ้าไม่พัฒนาตามขั้นตอนนี้ แต่ทฤษฎีฟรอยด์เป็นแนวคิดหนึ่งที่ช่วยกำหนดขอบเขตของรูปแบบพัฒนาการชีวิตมนุษย์ที่มีค่าแก่การศึกษายิ่ง

2. Erikson’s Theory

อีริค อีริคสัน (Erik Erikson) เคยอยุ่ในกลุ่มจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ครั้นถึงปี ค.ศ. 1964 อีริคสันได้สร้างแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการชีวิตเรียกว่า “Psychosocial development” อธิบายลักษณะพัฒนาการชีวิตมนุษย์ทุกวัยว่าได้รับอิทธิพลจากสังคมที่เด็กอาศัยอยู่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ทำหน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่ ตลอดจนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ทั้งที่ทำงานและที่ตนเองอาศัยอยู่ พัฒนาการชีวิตมนุษย์ตามแนวคิดนี้สามารถแสดงขั้นตอนตั้งแต่เกิดจนตาย

ขั้นพัฒนาการชีวิตมนุษย์อธิบายโดยย่อดังนี้

ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ (Trust V.S Mistrust) วัยทารก 1 ปีแรกของชีวิต เด็กเรียนรู้ที่จะเกิดความรู้สึกไว้วางใจหรือเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว จากการที่เด็กได้รับการตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการขั้นี้คือมารดาและเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจก็คือการที่มารดาสามารถที่จะบำบัดความต้องการที่ทารกต้องการได้

ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเอง-ความไม่มั่นใจในตัวเอง (Autonomy V.S Shame and Doubt) เด็กอายุ 2 ปี เด็กเรียนรู้ที่จะทดลองและเลือกที่จะทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองและเรียนรู้ที่จะควบคุมกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของตนเอง ถ้าเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมในการที่จะให้เด็กทำสิ่งต่างๆในลักษณะของการทดสอบความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อของตนเองจะทำให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจในตนเองว่าเขามีความสามารถทำสิ่งต่างๆโดยตนเองได้

ขั้นที่ 3 ความคิดริเริ่ม-ความรู้สึกผิด (Initiative V.S Guilt) เด็กอายุ 3-5 ปี เด็กเรียนรู้ที่จะมีความคิดริเร่มที่จะทำกิจกรรมต่างๆและมีความสนุกสนานกับสิ่งที่ได้คิดริเริ่ม หากเด็กได้รับการสนับสนุนและได้รับความสำเร็จก็จะยิ่งทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นและกล้าคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆต่อไปอีก ในทางตรงกันข้ามถ้าเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนหรือไม่ได้รับการอนุญาติให้คิดริเริ่มจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกผิดในความพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง

ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียร-ความรู้สึกต่ำต้อย (Industry V.S Inferiority) เด็กอายุ 6- 11 ปี เด็กจะพัฒนาความรู้สึกขยันหมั่นเพียรและความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้ ผู้ปกครองควรให้การสนับสนุน ให้เด็กได้มีโอกาสได้ทำงานที่มีความหลากหลายและท้าทาย แต่ก็ไม่ควรเป็นงานที่ยากจนเกินไป ควรมีการให้การเสริมแรงเมื่อเด็กทำงานเสร็จสมบูรณ์ ในขั้นนี้เด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จจะรู้สึกต่ำต้อย และหมดความสนใจที่จะทำงานต่างๆและจะประเมินตนเองว่าเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ

ขั้นที่ 5 ความเป็นเอกลักษณ์-ความสับสนในบทบาท (Identy V.S Role confusion) เด็กเข้าสู่วัยรุ่นคือ อายุระหว่าง 12-18 ปี ในขั้นนี้เขาจะทบทวนประสบการณ์ต่างๆในชีวิตเพื่อที่จะพัฒนาความรู้สึกที่ว่า “ฉันเป็นใคร” (Who am I) และคนที่ทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตและไม่สามารถบอกได้ว่าฉันเป็นใครจะมีความรู้สึกสับสนในบทบาท

ขั้นที่ 6 ความผูกพัน-การแยกตัว (Intimacy V.S Isolation) ผ่านจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุระหว่าง 19-40 ปี ตามความคิดของอีริคสัน คนที่ประสบความสำเร็จคือค้นพบเอกลักษณ์ของตนเองในขั้นที่แล้วส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการสร้างความสนิทสนม สร้างความสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับบุคคลที่เป็นคนสำคัญสำหรับเขาเช่น คนรัก ส่วนคนที่ไม่สามารถที่จะปรับตัวเองในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นและสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจนกลายเป็นคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตเขาได้ก็จะเกิดความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว และเกิดความรู้สึกไม่เต็มใจในการที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับบุคคลสืบต่อไป

ขั้นที่ 7 การทำประโยชน์ให้สังคม-การเห็นแก่ตัว (Generativity V.S Self-Absorption) วัยผู้ใหญ่กลางคน อายุระหว่าง 40-60 ปี คนที่ประสบความสำเร็จในขั้นนี้จะเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มใจที่จะมีบุตรและดูแลบุตร จะอุทิศตนเองให้กับการทำงานและการทำประโยชน์ให้กับบุคคลอื่นๆโดยเฉพาะเด็กๆ ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในขั้นนี้จะมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Self-centered) ทำอะไรจะคิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่นและไม่มีความกระตือรือล้นที่จะทำสิ่งต่างๆ

ขั้นที่ 8 บูรณาภาพ-ความสิ้นหวัง (Integrity V.S Despair) วัยชรา อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นช่วงของการทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ถ้าทบทวนแล้วเห็นว่าสิ่งต่างๆที่ตัวเองกระทำมาในชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายและตนเองพร้อมที่จะเผชิญกับความตายและการยอมรับที่จะเผชิญกับความตายอย่างมีศักดิ์ศรีก็จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในขั้นนี้แต่ในทางตรงกันข้ามคนที่สิ้นหวังเพราะไม่ประสบความสำเร็จในจุดมุ่งหมายของชีวิตก็จะรู้สึกล้มเหลวและเสียดายเวลาที่ผ่านมา

จากภาพหลายเส้นแสดงขั้นตอนพัฒนาการชีวิตมนุษย์ อีริคสันได้อธิบายเน้นความสัมพันธ์และความต้องการทางสังคมและถ้าหากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองให้พอเหมาะ ปัญหาจะเกิดขึ้นและจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

3. Piaget’s Theory

จีน เพียเจท์(Jean Piaget) เจ้าของกิจการงานเกษตรกรรมแถบเทือกเขาแอลฟ์ (Alps) สวิสเซอร์แลนด์ แต่หันมาสนใจและทำความเข้าใจพฤติกรรมเด็ก การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพฤติกรรมเด็กได้ดำเนินการตามวิธีสังเกตพฤติกรรมตรง กล่าวคือ ในแต่ละวันของแต่ละวัยนั้น เพียเจท์ได้ศึกษาและบันทึกพฤติกรรมอย่างละเอียด จนสามารถกำหนดเป็นบรรทัดฐานแบบแผนพฤติกรรมของเด็กและได้สรุปเป็นแนวคิดทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของชีวิตมนุษย์ที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ“Cognitive Development Theory” เพียเจท์แบ่งขั้นตอนพัฒนาชีวิตเป็น 4 ขั้นดังนี้

ขั้นที่ 1 Sensory-motor period ช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 2 ขวบ โดยประมาณ คำว่า Sensory หมายถึง การสัมผัสต่างๆ เช่นการเห็น การได้ยิน การรู้รส และการรู้สึกที่ผิวหนัง ส่วนคำว่า Motor เป็นกิริยาอาการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น การลูบคลำ การคืบคลาน การเอื้อมหยิบฉวยตลอดจนการเสาะแสวงหาทั้งหลาย รวมความว่าวัย Sensory-motor นี้เป็นระยะที่เด็กมีการซุกซนเคลื่อนไหวอยู่ไม่สุข ซึ่งเพียเจท์อธิบายว่าเป็นความพยายามเข้าใจสิ่งแวดล้อมของเด็ก โดยอาศัยประสาทสัมผัสและอวัยวะมอเตอร์ ทั้งนี้เป็นการเรียนรู้พื้นฐานในการสร้างสติปัญญาของเด็กและเป็นการเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อม

ขั้นที่ 2 Preoperational period อายุในช่วง 2-7 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่เด็กเริ่มพัฒนาการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ในการทำความเข้าใจและแสดงออกกับสิ่งแวดล้อม มีการเรียกชื่อสิ่งของแม้ว่าบางครั้งเด็กจะสับสนเกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ อยู่บ้าง แต่เด็กจะพยายามใช้ภาษาในการสื่อสาร อนึ่งเด็กในวัยนี้จะเริ่มใช้เหตุผลบางประการซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่นเกี่ยวกับปริมาณของน้ำในภาชนะที่มีขนาดต่างกัน เด็กจะรับรู้ว่าปริมาณมากน้อยตามระดับน้ำที่มองเห็น โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆ นอกจากนี้เด็กวัยนี้ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Ego centric Behavior) และไม่รับรู้รับทราบความคิดผู้อื่น

ขั้นที่ 3 Period of Concrete Operations ช่วงอายุประมาณ 7-11 ขวบ การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องคิดคำนวณตัวเลขจะเริ่มจากการบวกลบจำนวนต่างๆ เด็กมีความคิดเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมได้ โดยสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันเช่น ความเย็น-น้ำ-เปียกเป็นต้น

ขั้นที่ 4 Period of Formal Operations อยู่ในช่วงอายุ 11-15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เด็กใช้เหตุผลเชิงตรรกและคิดทบทวนไปมาได้อย่างว่องไว เด็กจะมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเริ่มตั้งแต่นำข้อมูลมาสร้างสมมติฐาน และสร้างข้อสรุปกฎเกณฑ์ต่างๆ จากการทดสอบข้อสันนิษฐานของตน กระบวนการคิดที่แตกฉานและการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรมจะปรากฎเด่นชัดขึ้น ในวัยนี้จะมีการคาดคะเนปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งนี้เป็นพื้นฐานการคิดหาคำตอบเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตของมนุษย์

4. Kohlberg’s Theory

ลอเรนส์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ผู้สนใจความประพฤติถูก-ผิด-ดี-ชั่ว ของมนุษย์ ทฤษฎีของโคลเบิร์กได้ชื่อว่าทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม(Moral Development Theory) เมื่อปี ค.ศ. 1969 โคลเบิร์กได้ศึกษาค้นคว้าค่านิยมความดีความชั่วของมนุษย์ โดยเสนอขั้นพัฒนาจริยธรรมของมนุษย์ดังภาพข้างล่างนี้

ระดับ Premoral อยู่ในช่วงวัยเด็กตอนต้นก่อนเข้าเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กมองโลกแบบชีวิตต้องสู้เขาจะเข้าใจว่า ความถูกต้องคือการทำอะไรก็ได้ที่ไม่ถูกจับได้ ส่วนความไม่ถูกต้องคือการที่เขาโดนจับได้ เพราะฉะนั้นเด็กอาจจะคิดว่าการขโมยของเพื่อนไม่ถือว่าเป็นความผิดถ้าไม่โดนจับได้ ในช่วงนี้ของวัยความถูก-ผิดขึ้นอยู่กับสิ่งที่ปรากฎชัดเจนไม่เกี่ยวกับสาเหตุของการกระทำที่อาจจะมีแรงจูงใจอื่นๆอยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นๆ

ระดับ Conventional อยู่ในวัยเรียนจนถึงวัยรุ่น ช่วงนี้เด็กจะยึดถือกฎระเบียบต่างๆ ตามที่ได้รับการสั่งสอนอบรมมากกว่าที่จะคิดเองทำเอง โดยเฉพาะคำสั่งของบุคคลที่เป็นหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจจะบดบังความสามารถของตนเองในการคิดที่จะทำสิ่งที่ควรต่างๆ

ระดับ Principled วัยผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถที่จะสร้างคุณธรรมประจำตนเองได้อย่างกว้างขวางและยังเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ด้วย เช่น การสร้างวิธีต่อสู้แบบอหิงสาของมหาตมะคานธี เมื่อปี ค.ศ.1930-1940 ในประเทศอินเดียเป็นต้น อนึ่งในการบรรลุถึงคุณธรรมขั้นนี้มิใช่ว่าจะมีขึ้นได้กับทุกคนและคนส่วนมากก็มักจะอยู่ในระดับ Conventional หรือไม่ก็ขั้น Premoral เท่านั้น

โคลเบอร์กได้ศึกษาพัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคลในหลายสังคมและวัฒนธรรม ทั้งชาวตะวันตกและชาวตะวันออก แล้วสรุปว่า พัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ทั่วโลกแบ่งออกเป็นขั้นๆ ได้ 6 ขั้นเริ่มจากขั้นต่ำสุดจนถึงขั้นสูงสุดดังนี้คือ (ดวงเดือน พันธุมนาวิน และ เพ็ญแข ประจนปัจจนึก. 2520)

1. หลักการหลบหนีไม่ให้ถูกลงโทษ

เป็นหลักหรือเหตุผลของการกระทำซึ่งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ขวบใช้มาก เด็กยังเป็นบุคคลที่ต้องพึ่งพาและอยู่ในอำนาจของผู้ใหญ่มากจึงมีความจำเป็นจะต้องเชื่อฟังคำสั่ง เด็กเล็กๆ เข้าใจคำว่า ความดี ไปในความหมายว่า คือ สิ่งที่ทำแล้วไม่ถูกลงโทษ ตัวอย่างเหตุผลของการกระทำของเด็กเช่น ยอมสีฟันหลังอาหารเพราะกลัวพ่อดุ ไม่หยิบขนมกินก่อนได้รับอนุญาติเพราะกลัวแม่ตี เป็นต้น

2. หลักการได้รับรางวัล

เด็กเล็กๆ นั้นจะถูกผู้ใหญ่ดุว่าและเฆี่ยนตีอยู่เสมอ จนรู้สึกเป็นของธรรมดาเมื่ออายุมากขึ้น เด็กอายุระหว่าง 7-10 ขวบจะค่อยๆ เห็นความสำคัญของการได้รับรางวัลหรือคำชมเชย ฉะนั้น วิธีการจูงใจให้เด็กกระทำความดีจึงควรจะใช้วิธีให้สัญญาว่าจะให้รางวัลมากกว่าการขู่ว่าจะลงโทษจึงจะเป็นผลดีในเด็กโต เด็กในขั้นนี้จะมีแรงจูงใจที่จะกระทำสิ่งที่จะเป็นผลดีแก่ตนเช่น เด็กหญิงจะช่วยบิดารดน้ำต้นไม้เพื่อจะได้รับคำชมเชย เด็กชายจะไม่ย่ำดินเป็นรอยเท้าเข้าบ้าน เพื่อบิดามารดาจะได้หาขนมอร่อยๆ ไว้ให้กินเมื่อกลับจากโรงเรียน

3. หลักการทำตามความเห็นชอบของผู้อื่น

เด็กที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะให้ความสำคัญแก่กลุ่มเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับตนมาก เด็กพวกนี้ส่วนมากจะทำในสิ่งที่ตนคิดว่าคนอื่นจะเห็นด้วยเพื่อให้เป็นที่ชอบพอของเพื่อนฝูงและเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน หลักการขั้นนี้จะใช้มากในเด็กอายุ 13 ปี และจะมีใช้น้อยลงกว่าเดิมในเด็กอายุ 16 ปี ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นหญิงต้องการจะนุ่งกระโปรงสั้นตามสมัย เพื่อเพื่อนๆ จะได้ไม่คิดว่าตนเชย วัยรุ่นชายไม่ยอมตัดผมสั้นเกรียนเพราะกลัวเพื่อนๆ จะล้อว่าเป็นลุง

4. หลักการทำหน้าที่

เด็กวัยรุ่นตอนกลางจะมีความเจริญทางปัญญาและได้รับความรู้และประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่า ในสังคมประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ แต่ละกลุ่มจะมีกฎเกณฑ์ให้สมาชิกยึดถือและบางกลุ่มจะมีเจ้าหน้าที่ทำการรักษากฎเหล่านั้น เด็กวัยรุ่นในขั้นนี้จะตระหนักถึงหน้าที่ของตนในกลุ่มต่างๆ และมีศรัทธาต่อกฎเกณฑ์ของกลุ่มมากพอสมควร ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ผู้ปกครองจะดูแลแนะนำให้เด็กวัยรุ่นของตนได้เข้ากลุ่มที่ดี เพื่อเด็กจะได้ทำตามกฎเกณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ถ้าเด็กวัยนี้ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เลวทรามบ่อนทำลายสังคม เด็กจะปฎิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ของกลุ่มนั้นซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อสังคมได้

5. หลักการมีเหตุมีผลและการเคารพตนเอง

เป็นขั้นของการพัฒนาจริยธรรมที่พบมากในผู้ใหญ่ และอาจจะมีในวัยรุ่นตอนปลายบางคนด้วย ส่วนในวัยเด็กนั้นหาได้น้อยมากหรือไม่มีเลย บุคคลที่ใช้หลักขั้นที่ 5 นี้ จะมีการกระทำที่พยายามจะหลบหลีกมิให้ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขาดเหตุผล เป็นคนไม่แน่นอน ใจโลเลและเป็นคนที่ไม่มีหลักยึด ไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน คำว่าหน้าที่ของบุคคลในขั้นนี้หมายถึง การทำตามที่ตนเองตกลงหรือให้สัญญาไว้กับผู้อื่น ไม่พยายามที่จะลิดรอนสิทธิของผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มีความเคารพตนเองและต้องการให้ผู้อื่นเคารพตนด้วย

6. หลักการทำตามอุคมคติสากล

ขั้นสูงสุดในการพัฒนาจริยธรรมนี้จะพบในผู้ใหญ่ที่มีความเจริญทางสติปัญญา มีประสบการณ์และความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของตนเองและของกลุ่มอื่นๆในโลก บุคคลที่ใช้หลักขั้นสูงสุดนี้ จะเป็นผู้ที่รับเอาความคิดเห็นที่เป็นสากลของผู้ที่เจริญแล้วและมีสายตาและความคิดที่กว้างไกลไปกว่ากลุ่มและสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ บุคคลประเภทนี้จะมีอุดมคติหรือคุณธรรมประจำใจ เช่นมีหิริโอตตัปปะคือ มีความละอายใจในการที่ตนจะทำความชั่ว มีความกรงกลัวต่อบาปถึงแม้จะรอดพ้นไม่ถูกผู้ใดลงโทษ

จากทฤษฎีพัฒนาการชีวิตมนุษย์ดังกล่าวมา พอจะเป็นแนวทางสำหรับการศึกษาบุคคลว่ามีแบบแผนพัฒนาการอย่างไรบ้าง และจากข้อคิดเหล่านี้อาจจะช่วยในการพิจารณาพฤติกรรมของมนุษย์ได้ชัดเจนและถูกต้องยิ่งขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็ใกล้เคียงกับสถานะภาพความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ตามวัยนั้นๆ

สรุป

พัฒนาการของมนุษย์มีหลายด้าน เช่น พัฒนาการทางกาย พัฒนาการทางจิตใจ พัฒนาการทางสติปัญญา และพัฒนาการทางจริยธรรม สิ่งที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์คือ พันธุกรรม วุฒิภาวะ การเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม การศึกษาพัฒนาการของมนุษย์จะช่วยให้เข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ สามารถรู้จักและอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ทุกวัย การเจริญเติบโตทางร่างกายและการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมการปรับตัวที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพและซับซ้อนขึ้น พัฒนาการของมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็นสี่ด้านใหญ่ๆคือ1 การพัฒนาทางร่างกาย 2พัฒนาการส่วนบุคคล 3พัฒนาการทางสังคม 4 พัฒนาการทางความคิดและสติปัญญา ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในด้านต่างๆที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน ผู้สอนจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้เรียนในด้านต่างๆก่อนจึงจะสามารถวางแผนพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม

ซึ่งการพัฒนาการในด้านสำคัญๆได้แก่ ความคิด จิตใจ-สังคม และคุณธรรมจริยธรรมเนื่องจากเป็นด้านหลักที่จำเป็นและต้องได้รับการพัฒนาและเป็นด้านที่มีความซับซ้อน จึงต้องอาศัยการศึกษาและการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งหลายคนได้สร้างแนวคิดและทฤษฏีการพัฒนาทางด้านความคิด พัฒนาการด้านจิตใจ-สังคม และพัฒนาการด้านจริยธรรม อาทิ ทฤษฏีการพัฒนาการบุคลิกภาพของฟรอยด์ หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการด้านความคิดตามทฤษฏีของเพียเจท์ ด้านจิต-สังคมตามทฤษฏีของอิริคสัน และด้านคุณธรรมจริยธรรมตามทฤษฏีของโคห์ลเบิร์ก ทฤษฏีและแนวคิดดังกล่าวจะช่วยให้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างกว้างขว้าง

ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ ความคิด จิตใจ-สังคม และคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียนมีหลักการเช่นเดียวกัน คือผู้สอนจำเป็นต้องทราบว่าปัจจุบันผู้เรียนอยู่ในการพัฒนาการขั้นใดจากนั้นจึงพยายามหาหนทางจัดสภาพการณ์ที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในขั้นนั้นๆอย่างเหมาะสมและพัฒนาสู่ขั้นถัดไปอย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง

  1. กันยา สุวรรณแสง. (2540). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพมหานคร รวมสาส์น
  2. ประสาท อิสรปรีดา. (2538). สารัตถะจิตวิทยาการศึกษา. มหานสารคาม.โครงการตำรามหาวิทยาลัย มหาสารคาม.
  3. สุรางค์ โค้วตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา กรุงเทพมหาคร :จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  4. สุวัทนา อารีพรรค. รักร่วมเพศ. (ออนไลน์)แหล่งที่มา : http\www.ekb-online.com\ doctors2\gay_homoo1.html(เข้าถึง 12 กรกฏาคม 2549)
  5. แสงเดือน ทวีสิน. 2554 จิตวิทยาการศึกษา พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร:ไทยเส็ง.
  6. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2536). พุทธศาสนากับการพัฒนามนุษย์. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม.
  7. พรรณี ช. เจนจิต. (2545). จิตวิทยาการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : เมธีทิปส์.
  8. ดวงเดือน พันธุมนาวิน และ เพ็ญแข ประจนปัจจนึก. (2520) จริยธรรมของเยวชนไทย. สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
  9. ไพบูลย์ เทวรักษ์. (2537). จิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมภายนอกและภายใน. กรุงเทพฯ : เอส.ดี.เพรส.
  10. ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2530). จิตวิทยาพัฒนาการ. สำนักพิมพ์ประกายพรึก กรุงเทพฯ.
  11. สงคราม เชาวน์ศิลป์. (2535). จิตวิทยาทั่วไป. เชียงใหม่. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
  12. Bernstein. D. A. (1999). Essentials of Psychology. Houghton Mifflin Company. Bernstein. D. A. (1988) Psychology. Houghton Mifflin Company.
  13. Nairne. J. S. (2000). Psychology : the adaptive mind. (2nd ed.) Australia : Wadsworth.
  14. สงคราม เชาวน์ศิลป์. (2535). จิตวิทยาทั่วไป. เชียงใหม่. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
  15. Bernstein. D. A. (1999). Essentials of Psychology. Houghton Mifflin Company.
  16. Bernstein. D. A. (1988). Psychology. Houghton Mifflin Company. Nairne. J. S. (2000) Psychology : the adaptive mind. (2nded.) Australia : Wadsworth.
  17. Ausubel, David P.&. Robinson, Floyd G. (1969). School Learning Holt, Rinchart and Winston.
  18. Bennard, Harold W. (1954). Psychology of Learning and Teaching. McGraw Hill Book Co.,
  19. Bigge, Morris L.& Hunt, Maurice P. (1962). Psychological Foundation of Education. Harper & Row, 2nd Ed.
  20. Crow, Lester D., & Crow, Alice. (1964). Educational Psychology. Revised Ed. Eurasia Publishing House, Ramnagar, New Delhi-1
  21. Derville, Leonore M.T. (1966). The Use of Psychology in Teaching. Longmans, Green & Co.
  22. Dreikurs, Rudolf. (1968). Psychology in the Classroom. 2nd Ed. Harper & Raw 1968.
  23. Fleming, C.M. (1958). Teaching : A Psychological Analysis. Methuen & Co. 1958.
  24. Frandsen, Arden N. (1957). How Children learn. Mcgrow Hill Book Co. 1957.
  25. Klausmeier, Herber J. (1961). Learning and Human Abilities : Educational Psychology. Harper & Bros.
  26. Kumari Saradamani Devi R. and Mehrotra. (1971). Teaching of Educational Psychology. J.R. Printing Press. New Delhi.
  27. Lindgren, Henry Clay. (1962). Educational Psychology in the Classroom. 2nd Ed. John Wiley & Son.
  28. Messer, Eunice, A. (1967). Children, Psychology and the Teacher. Mcgraw Hill Book Co.
  29. Mouly, George J. (1968). Psychology for Effective Teaching. 2nd Ed. Holt, Rinchart & Winston.
  30. Peterson, Harvey A., Marzolf, Stanley S., & Bayley, Nancy. (1948). Educational Psychology. Macmillan.
  31. Stephens, John M. (1965). Psychology of Classroom Learning Holt, Rinchart & Winston.