1. ความหมายของเชาวน์ปัญญา
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ปี พ.ศ.2493 ให้ความหมายของคำว่า “เชาว์ปัญญา” คือ ความสำเร็จของปัญญาและความคิด
Dictionary of Education ให้ความหมายว่า “เชาว์ปัญญา (Intelligence) คือ ความสามารถในการปรับตัว ให้เข้าสถานการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและเป็นผลสำเร็จ”
Lewis Terman ให้ความหมายของเชาว์ปัญญาว่า เป็นความสามารถในการคิดเกี่ยวกับนามธรรมของแต่ละบุคคล
George D. Stoddrd ได้ให้ความหมายว่า เชาว์ปัญญา คือ ความสามารถที่จะเข้าใจและทำกิจกรรม
David Wechsler (1958) กล่าวว่า เชาวน์ปัญญาคือ ความสามารถโดยรวมของบุคคลที่แสดงออกอย่างมีเป้าหมาย คิดอย่างมีเหตุผล และจัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
พริ้มเพรา ดิษยวณิช (2543) กล่าวว่า ในทางจิตวิทยา เชาวน์ปัญญา (Intelligence) หมายถึงความสามารถที่จะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง คิดอย่างมีเหตุผลและใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อต้องเผชิญกับการท้าทาย เชาวน์ปัญญายังหมายถึง ความสามารถทางการรู้ การเรียนรู้ ความจำทั้งในอดีตและปัจจุบัน การจัดแนวคิดทั้งในการใช้คำพูดและตัวเลข ความสามารถในการเปลี่ยนความคิดเชิงนามธรรมเป็นภาษาเขียนหรือคำพูด และการใช้ภาษากลับไป เป็นความคิดเชิงนามธรรมยังรวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และการสังเคราะห์รูปทรง และการจัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างมีความหมายและแม่นยำตามลำดับก่อนหลัง
ผศ.นพ. สเปญ อุ่นอนงค์ กล่าวว่า เชาว์ปัญญา หมายถึงความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การปรับตัวต่อปัญหาอย่างเหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีคุณค่าทางสังคม สามารถคิดอย่างมีเหตุผลสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
2. นิยามของเชาวน์ปัญญา
มีผู้ให้นิยามคำว่าเชาวน์ปัญญา (intelligence) มากมายหลายคนดังนี้:
David Wechsler (1958) กล่าวว่า เชาวน์ปัญญาคือ ความสามารถโดยรวมของบุคคลที่แสดงออกอย่างมีเป้าหมาย คิดอย่างมีเหตุผล และจัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
J.P. Gilford กล่าวว่าเชาวน์ปัญญามีองค์ประกอบ 3 มิติ ด้วยกันคือ
- วิธีการคิด
- สิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นความคิด เช่น ภาพ สัญลักษณ์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ
- ผลของความคิด สามารถดัดแปลงนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ
Charles Spearman กล่าวถึง เชาวน์ปัญญา ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงสร้างคือ
- ความสามารถทั่วไป เช่นเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่าง ๆ การวางแผนและการคิดอย่างมีเหตุผล
- ความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี
ปี 1927 Spearman กล่าวว่าองค์ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาเรียกว่า g หรือ g-factor เป็นความคิดแฝงที่อยู่ภายใต้การกระทำทุกชนิดที่บ่งบอกลักษณะของเชาวน์ปัญญา และ g-factor คือสิ่งที่ถูกวัดโดยแบบทดสอบทางเชาวน์ปัญญา
Howard Gardner (1983) กล่าวถึงเชาวน์ปัญญา 7 ชนิด แม้ว่าแต่ละชนิดต่างเป็นอิสระไม่ต้องอาศัยอย่างอื่นประกอบ แต่โดยทั่วไปแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ จะประกอบด้วยส่วนของเชาวน์ปัญญาเหล่านี้ร่วมกัน (Gardner, 1983; Walter and Gardner,1986; Krechesky and Gardner,1990)
เชาวน์ปัญญา 7 ชนิดคือ
- เชาวน์ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical intelligence) ได้แก่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดนตรี
- เชาวน์ปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily kinesthetic intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการแสดง หรือแก้ไขปัญหาเช่น นักกรีฑา นักแสดง นักเต้นรำ และ ศัลยแพทย์
- เชาวน์ปัญญาในด้านตรรก และการคำนวณ (Logical and mathematic intelligence) ได้แก่ทักษะในการใช้เหตุและผล รวมทั้งการคิดคำนวณ และความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา
- เชาวน์ปัญญาทางด้านการใช้ภาษา (Linguistic intelligence) ได้แก่ทักษะซึ่งเป็นผลจากการใช้ภาษา
- เชาวน์ปัญญาเกี่ยวกับที่ว่าง (Spatial intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปพรรณสัณฐาน องค์ประกอบ มักพบในกลุ่มที่เป็นศิลปิน หรือสถาปนิก
- เชาวน์ปัญญาเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นมีความไวในการรับหรือส่งอารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจ หรือมีความเข้าใจในผู้อื่น ข้อนี้น่าจะคล้ายกับเรื่องของ EQ.
- เชาวน์ปัญญาในด้านความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Intrapersonal intelligence) ได้แก่ความเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ตนเองมีอยู่
Sternberg และคณะ (1981) กล่าวถึงเชาวน์ปัญญา (intelligence) ในด้านต่าง ๆ ดังนี้คือ
1. ความสามารถในการแก้ปัญหา (problem solving ability) ด้วยหลักเกณฑ์ที่มีเหตุและผล
2. มีความคิดที่แสดงความสามารถในเชิงภาษา การติดต่อสื่อสารด้วยคำพูดและวาจาและ
3. มีความสามารถทางสังคม มีความสนใจผู้อื่น และสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
Sternberg (1985, 1991) พัฒนาทฤษฎีทางเชาวน์ปัญญา 3 มิติ (Triarchic theory of intelligence) เขากล่าวถึงองค์ประกอบ 3 ด้านของเชาวน์ปัญญาคือ
- ด้านองค์ประกอบ (componential aspect) เน้นในเรื่ององค์ประกอบของความคิด ที่เกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการของความคิดหรือทักษะ(mental process or skill) เมื่อบุคคลแสดงพฤติกรรมที่มีเหตุผล
- ด้านประสบการณ์ (experiential aspect) เน้นประสบการณ์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ในอดีตที่ช่วยในการแก้ปัญหาเมื่อเผชิญกับสถาณการณ์ต่าง ๆ เช่นการปรับตัวกับงานใหม่ ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
- ด้านบริบท (contextual aspect) ทุกวันนี้มนุษย์ต้องเผชิญกับสิ่ง แวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บุคคลต้องใช้ความสามารถเชิงเชาวน์ปัญญาชนิดนี้เข้าจัดการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆที่เปลี่ยนแปลงไป
ในปัจจุบันมีนักจิตวิทยารุ่นใหม่ ๆ ที่มีการจัดแบ่งเชาวน์ปัญญาออกไปในด้านต่าง ๆ เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional intelligence) หรือเชาวน์อารมณ์ (Emotional Quotient, EQ.) เชาวน์ปัญญาเชิงปฎิบัติการ (Practical intelligence) และเชาวน์ปัญญาเชิงจริยธรรม (Moral intelligence) อย่างไรก็ตามทฤษฏีใหม่ในปัจจุบันเน้นถึงความสำคัญของเชาวน์ปัญญาเชิงปฏิบัติการ (practical intelligence) ที่ช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มากกว่าเชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการเรียนรู้ในโรงเรียน (school intelligence)
ในทางจิตวิทยา เชาวน์ปัญญา (Intelligence) หมายถึงความสามารถที่จะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง คิดอย่างมีเหตุผลและใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อต้องเผชิญกับการท้าทาย เชาวน์ปัญญายังหมายถึง ความสามารถทางการรู้ การเรียนรู้ ความจำทั้งในอดีตและปัจจุบัน การจัดแนวคิดทั้งในการใช้คำพูดและตัวเลข ความสามารถในการเปลี่ยนความคิดเชิงนามธรรมเป็นภาษาเขียนหรือคำพูด และการใช้ภาษากลับไป เป็นความคิดเชิงนามธรรมยังรวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และการสังเคราะห์รูปทรง และการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ อย่างมีความหมายและแม่นยำตามลำดับก่อนหลัง (พริ้มเพรา ดิษยวณิช, 2543)
จากนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเชาวน์ปัญญาเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลเป็นผลรวมของชีวิตที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งสัมพันธ์กับความสามารถในด้านการรู้หรือประชาน (cognitive ability) พัฒนาการของเชาวน์ปัญญาเกี่ยวข้องกับอิทธิพล ของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
3. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา
แม้จะมีทฤษฎีเชาวน์ปัญญาหลายทฤษฎี แต่ในที่นี้จะเสนอ ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา ที่ได้รับความนิยม และนำไปประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งสอดคล้องกับเรื่องที่จะสามารถนำไปพัฒนาตนได้เป็นอย่างดี คือ ทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) พร้อมทั้งแนวคิดทางพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเชาวน์ปัญญาคือ หลักไตรสิกขา และโยนิโสมนสิการ
ทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์ดเนอร์
การ์ดเนอร์ได้เสนอว่าเชาวน์ปัญญามนุษย์มี 8 ด้าน แต่ละด้านเหล่านี้ ไม่ได้ทำงานแยกจากกัน ทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีบทบาท ที่สลับซับซ้อน จะมีการผสมผสานการใช้สติปัญญาด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ในการปฏิบัติบทบาทของตน เชาวน์ปัญญาทั้ง 8 ด้านประกอบด้วย
1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
บุคคลผู้มีความสามารถด้านนี้จะไวกับความหมายของคำ เล่นคำ มีความสามารถ ใช้ภาษาได้อย่าง ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์และบางครั้งก็ออกนอกกฎเมื่อไตร่ตรองดีแล้ว เป็นผู้มีความสามารถด้านภาษาในระดับสูง สามารถสื่อสารเชื่อมโยงได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ใช้ภาษาได้อย่างสละสลวยตลอดจนการใช้ภาษากระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก บุคคลกลุ่มนี้ได้แก่ กวี นักเขียน นักการเมือง นักพูด นักข่าว ทนายความ และพิธีกร
2. ปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical Intelligence)
ผู้มีปัญญาด้านนี้สูง จะสามารถจัดเก็บ ตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปรและสร้างสมมุติฐานได้มากมาย สามารถประเมินและยอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐานแต่ละข้อได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถจะรวม ทั้งคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์นั้นรักที่จะค้นคว้ากับสิ่งที่เป็นนามธรรม สนุกกับการแก้ปัญหาที่ต้องสรรหาเหตุผลมากมายมาประกอบ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ จะได้แรงจูงใจจากความต้องการที่จะอธิบายทุกสิ่งให้เป็นรูปธรรม บุคคลกลุ่มนี้ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักฟิสิกส์ คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ และนักวิจัย
3. ปัญญาทางด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence)
ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถที่จะเข้าใจโลกที่เรามองเห็นอยู่ได้อย่างถูกต้อง เป็นเรื่องที่จำเป็นในการเดินทางการเดินเรือ และการใช้แผ่นที่ ผู้มีความสามารถด้านนี้สูงจะสามารถนำเสนอข้อมูลด้านมิติให้ออกมาเป็นภาพได้ มีความเฉียบแหลมในการดึงภาพจากความคิดฝันมาทำให้ปรากฎ มาสร้างเป็นชิ้นงานศิลปะ บุคคลกลุ่มนี้ได้แก่ วิศวกร ศัลยแพทย์ นักวาดแผนที่ ปฏิมากร และสถาปนิก
4. ปัญญาทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (Bodily-Kinesthetic Intelligence)
ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะค้นพบความสามารถของตน ทันทีที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้น ๆ โดยยังไม่ทันได้รับการฝึกมากนัก มีความสามารถในการหยิบจับวัตถุต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น นักประดิษฐ์และนักแสดง ร่างกายจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในอาชีพ บุคคลในกลุ่มนี้ได้แก่ นักเต้นรำ นักกีฬา และนักกายกรรม
5. ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical Intelligence)
คนทุกคนล้วนมีความสามารถทางดนตรีในระดับหนึ่ง ทุกคนสามารถสนุกไปกับเสียงดนตรี ได้แก่ จังหวะ ท่วงทำนอง ระดับเสียง ซึ่งบางคนจะมีทักษะด้านนี้มากกว่าคนอื่น สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในการเล่นเครื่องดนตรี ปัญญาด้านนี้ครอบคลุมความสามารถทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ผู้มีความสามารถด้านนี้สูง ได้แก่ นักประพันธ์เพลง นักร้อง นักดนตรี ผู้ควบคุมวงดนตรี และผู้เข้าซึ้งถึงดนตรี
6. ปัญญาทางด้านการเข้ากับผู้อื่น (Inter-Personal Intelligence)
ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถที่จะมองไปที่ผู้อื่นหรือบุคคลที่อยู่ภายนอก ผู้ใหญ่ที่มีความชำนาญด้านนี้จะสามารถรับรู้ความตั้งใจและความปรารถนาของผู้อื่นได้ แม้เขาจะไม่แสดงออกให้เห็นหรือปิดบังไว้ก็ตาม จะมีความไวต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น บุคคลในกลุ่มนี้ได้แก่ ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง พ่อแม่ ครู นักบำบัด และนักแนะแนว
7. ปัญญาทางด้านการเข้าใจตนเอง (Intra-Personal Intelligence)
ปัญญาด้านนี้คือการเข้าใจความรู้สึกของตนเองทุกแง่ทุกมุม รู้จักระดับและขอบเขตอารมณ์ของตนเอง สามารถระบุอารมณ์นั้นได้และใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของตน ปรับปรุงการกระทำของตน ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะมีความเข้าใจภายในตนเองสูง จะมีรูปแบบการดำเนินชีวิตของตนเอง สดชื่น และมีประสิทธิภาพ บุคคลกลุ่มนี้ได้แก่ นักเขียน นักแต่งนวนิยาย ผู้ทรงปัญญา และนักจิตวิทยา
8. ปัญญาทางด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence)
ปัญญาด้านนี้เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้สูงจะรู้จักจำแนกชนิด และสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ สามารถแยกแยะความแตกต่าง จัดหมวดหมู่ จัดประเภทของสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของโลกได้ดีบุคคลในกลุ่มนี้ได้แก่ นักเดินทาง นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า
การ์ดเนอร์มีหลักฐานหลายอย่าง ได้แก่ งานวิจัยเกี่ยวกับสมอง พัฒนาการมนุษย์ วิวัฒนาการมนุษย์ ประกอบกับการเปรียบเทียบระหว่างวัฒนธรรมต่าง ๆ แล้วเลือกสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานหลาย ๆ ด้านโดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความหมายดั้งเดิมของ “สติปัญญา” ทำให้มีโอกาสค้นพบสติปัญญาด้านใหม่ ๆ การ์ดเนอร์ พบว่า สติปัญญาต่าง ๆ ที่ศึกษาล้วนมีลักษณะที่ไม่ต้องอาศัยสติปัญญาด้านอื่น ๆ ดังจะเห็นได้จากคนที่สมองส่วนที่ควบคุมสติปัญญาด้านนั้น ๆ ถูกทำลายก็จะสูญเสียความสามารถในด้านนั้น โดยที่ความสามารถด้านอื่นยังคงอยู่ตามปกติ บทบาทของผู้ใหญ่เป็นผลมาจากปัญญาด้านใดด้านหนึ่ง อย่างไรก็ตามบทบาททางวัฒนธรรมทุกบทบาทไม่ว่าจะซับซ้อนมากน้อยเพียงไร จะต้องอาศัยสติปัญญาหลาย ๆ ด้านผสมผสานกัน
4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา
1. พันธุกรรมกับเชาวน์ปัญญา
พันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกต่อเชาวน์ปัญญาของบุคคล การที่เด็กจะมีระดับเชาวน์ปัญญาเช่นไรขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่เป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าพ่อแม่ฉลาด ลูกจะฉลาดเหมือนพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่โง่ ลูกจะโง่เหมือนพ่อแม่
2. สิ่งแวดล้อมกับเชาวน์ปัญญา
สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับเชาวน์ปัญญาของบุคคลได้ไม่มากนัก กล่าวคือ ไม่ว่าเราจะจัดสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใดก็จะไม่สามารถทำให้เด็กที่มีเชาวน์ปัญญาต่ำที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ให้มีระดับเชาวน์ปัญญาที่สูงขึ้นเป็นระดับปานกลางได้เลย
5. ทฤษฏีเชาวน์ปัญญา
1. ทฤษฎีเอกนัยหรือทฤษฎีองค์ประกอบเดียว
ผู้คิดทฤษฎีนี้ อัลเฟรด บิเนต์ มีความเห็นว่าว่าเชาวน์ปัญญาหมายถึงผลรวมของความสามารถหลายๆ ด้านของบุคคลที่มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเข้าเป็นองค์ประกอบเดียว เรียกว่าองค์ประกอบทั่วไป ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ซึ่งบิเนต์เชื่อว่าจะพัฒนาไปตามวุฒิภาวะของแต่ละบุคคล
2. ทฤษฎีสององค์ประกอบ
ผู้คิดทฤษฎี ชาร์ลส์ อี. สเปียร์แมน เชื่อว่าเชาวน์ปัญญาของคนเราไม่น่าจะมีเพียงองค์ประกอบเดียว แต่ควรประกอบขึ้นจากองค์ประกอบสองประเภทด้วยกัน คือ องค์ประกอบที่เป็นความสามรถทั่วไป เช่น ความจำ ไหวพริบ องค์ประกอบที่เป็นความสามารถเฉพาะ เช่น ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ทางภาษา
3. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด
เจ.พี. กิลฟอร์ด เชื่อว่าเชาวน์ปัญญาของบุคคลมีโครงสร้างเป็นสามมิติ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านวิธีคิด และด้านผลที่ได้ ซึ่งทั้งสามมิติหรือสามด้านยังสามารถแยกองค์ประกอบย่อยได้อีกถึง 120 ส่วน
4. ทฤษฎีการจัดกลุ่มและอันดับ
เวอร์นอน และเบิร์ต มีความเห็นว่าเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายส่วน แต่ละส่วนจะมีขนาด ลักษณะ และคุณภาพที่แตกต่างกันๆ ไป
5. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของแคตเตลล์
ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์ปัญญาโดยถือเอาอิทธิพลที่มีต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาเป็นเกณฑ์ โดยเขาเห็นว่าเชาวน์ปัญญาของบุคคลแบ่งองค์ประกอบทั่วไปสองประเภทคือเชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการถ่ายทอดทาพันธุกรรม หมายถึงองค์ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาประเภทที่ไม่เกิดจากการเรียนรู้หรืออาศัยประสบการณ์ เป็นความสามารถพื้นฐานโดยทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ หมายถึงองค์ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากสังคมและสิ่งแวดล้อม ยิ่งมีประสบการณ์และการเรียนรู้มากเท่าใด พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาก็จะมากขึ้น
ตัวอย่างแบบทดสอบทางเชาวน์ปัญญา (จิตวิทยาทั่วไป)
แบบทอสอบเชาวน์ปัญญารายบุคคล
แบบทดสอบเชาว์ปัญญาฉบับมาตรฐาน Standford-Binet Intelligence Scale (S-B scale) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นโดยนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Srandfordนำโดย Termanและคณะ ลักษณะของแบบทดสอบจะแบ่งออกเป็นชุดย่อยๆ ที่ใช้สำหรับแต่ละกลุ่มอายุ มีตั้งแต่ชุดของอายุ 2 ปี จนถึงชุดของอายุ 16 ปี แต่ละชุดจะมีข้อสอบประมาณ 6 ข้อ โดยในการทำแบบทดสอบ จะให้ผู้เข้ารับการทดสอบเริ่มทำแบบทดสอบชุดที่อายุต่ำกว่าอายุจริงประมาณ 1-2 ปี เพื่อคิดเป็นอายุฐานของสมอง แล้วให้ผู้เข้ารับการทำแบบทดสอบทำแบบทดสอบไปเรื่อยๆ จนถึงชุดอายุที่ไม่สามารถทำได้ โดยในระหว่างนั้นจะคิดคะแนนอายุสมองให้ตามจำนวนข้อที่ทำได้ โดยให้คะแนนอายุสมองเพิ่มขึ้นข้อละ 2 เดือน ได้คะแนนอายุสมองเท่าใด ให้นำมาแทนค่าในสูตร
ข้อคำถามใน S-B scale ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจ
แบบทดสอบเชาว์ปัญญาของ Wechsler ประกอบด้วยแบบทดสอบ 2 ชุด คือ ชุดสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 5-15 ปี มีชื่อว่า Wechsler Intelligence Scalefor children (WISC) และชุดสำหรับผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 16-64 ปี มีชื่อว่า Wechsler Adult Intelligence Scale (WAIS) ทั้งสองชุดแตกต่างกันที่ความยากง่าย แต่มีลักษณะเหมือนกัน คือ แบ่งเป็น 2 มาตร (Scales) ได้แก่ มาตรถ้อยคำ (Verbal Scale) และมาตรประกอบการ (Performance Scale) ผู้เช้ารับการทดสอบจะต้องถูกทดสอบทั้งสองมาตร ดังนี้
มาตราถ้อยคำแบ่งเป็นแบบทดสอบย่อย 6 ฉบับ คือ
1. General Information ถามเรื่องทั่วๆไป ที่ไม่ใช่ความรู้ทางวิชาการ
2. General Comprehension ถามความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ
3. Arithmetic วัดความสามารถในการคิดคำนวณเบื้องต้น
4. Similarity วัดความสามารถในการรับรู้ความคล้ายคลึงกันของสิ่งต่างๆ
5. Digit Span วัดความสามารถในการจำตัวเลขทั้งเรียงตามลำดับและย้อนหลัง
6. Vocabulary วัดความรู้เกี่ยวกับความหมายของศัพท์ต่างๆ
มาตรฐานประกอบการแบ่งเป็นแบบทดสอบย่อย 5 ฉบับ คือ
1. Digit Symbol เป็นการวัดความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ด้วยการจดจำสัญลักษณ์และตัวเลข
2. Picture Completion เป็นการดูภาพ แล้วหาส่วนที่ขาดหายไป
3. Picture Arrangement ให้เรียงรูปภาพเหตุการณ์ก่อนหลัง
4. Block Design ให้เรียงลูกบาศก์ตามตัวอย่าง
5. Object Assembly ให้ต่อชิ้นส่วนของภาพให้เป็นภาพที่สมบูรณ์
แบบทดสอบเชาวน์ปัญญารายกลุ่ม
แบบทดสอบเชาว์ปัญญาของธอร์นไดค์ (Thorndike Intelligence Test) ประกอบดด้วยแบบทดสอบ ดังนี้
1. Verbal เป็นแบบทดสอบที่ใช้ภาษา ประกอบด้วย
1.1 Sentence Completion เติมคำในประโยคให้สมบูรณ์
1.2 Vocabulary คำศัพท์ต่างๆ
1.3 Arithmetic การให้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์
1.4 VerbalClassification การจัดคำต่างๆ ที่เป็นพวกเดียวกันไว้ด้วยกัน
1.5 Verbal Analogies การเปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปมัย
2. Non Verbal เป็นแบบทดสอบที่ไม่ต้องใช้ภาษา ประกอบด้วย
2.1 Figure Classification การจัดรูปภาพที่เหมือนกันไว้พวกเดียวกัน
2.2 Number Series การต่ออนุกรมตัวเลข
2.3 FigureAnalogies การอุปมาอุปมัยด้วยรูปภาพ
แบบทดสอบ Army Alpha, Army Beta
เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อคัดเลือกทหารจำนวนมากเข้าประจำกรม กองต่างๆ ตามความเหมาะสมกับระดับสติปัญญา
Army Alpha ใช้สำหรับคนอ่านหนังสืออกมี 8 ชุด ดังนี้
1. Following Directions ให้ทำตามสั่ง
2. Arithmetic Problem เป็นเลขในใจ
3. Practical Judgment เป็นคำถามให้เลือกข้อที่ถูกที่สุด
4. Synonym-Antonym ให้หาคำเหมือนกัน และคำตรงกันข้ามกับที่กำหนดให้
5. Disarranged Sentences ให้จัดเรียงประโยคให้ถูกต้อง
6. Number Series Completion ให้เติมอนุกรมตัวเลข
7. Analogies เป็นการอุปมา อุปมัย เช่น ชาย : หญิงพ่อ : ….
8. General information ถามความรู้ทั่วไป
Army Beta ใช้สำหรับคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้หรืออ่านเขียนได้บ้างเล็กน้อย มี 7 ชุด คือ
1. Maze เขาวงกต
2. Cube Analysis นับลูกบาศก์
3. X-C Series ต่ออนุกรม X-Ox-oxoxox……………ox, ooxx ,ooo……………..
4. Digit Symbol ตอบสัญลักษณ์ให้ตรงกับตัวเลข
5. Number Checkingหาตัวเลขคู่ที่เหมือนกัน
6. Pictorial Completion เติมภาพให้สมบูรณ์
7. Geometric Construction ขีดเส้นแสดงว่าชิ้นส่วนต่างๆ รวมกันเป็นรูปทรงต่างๆ ได้อย่างไร
แบบทดสอบ Progressive Matrices (P.M.I.)
เป็นแบบทดสอบเชาว์ปัญญาเสมอภาคทางวัฒนธรรม กล่าวคือ จะไม่มีภาษาหรือความแตกต่างทางงวัฒนธรรมมาเป็นอุปสรรคต่อการทำแบบทดสอบ เนื่องจากข้อคำถามและตัวเลือกในแบบทดสอบจะเป็นรูปภาพทรงเราขาคณิต ทั้งหมด
สรุป
เชาวน์ปัญญา คือความสามารถเฉพาะบุคคลในการที่จะคิดอย่างเป็นนามธรรม มีเหตุผล ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำประสบการณ์จากการเรียนรู้มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ประเมินสถานการณ์ได้ใกล้เคียงตามความเป็นจริง ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย รวมทั้งมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การปรับตัวต่อปัญหาอย่างเหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและมีคุณค่าทางสังคม สามารถคิดอย่างมีเหตุผลสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพเชาวน์ปัญญามีความสำคัญและมีผลต่อความสำเร็จทางด้านต่างๆของมนุษย์ แต่มิใช่ว่าเชาวน์ปัญญาเป็นองค์ประกอบเดียวที่จะทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ การศึกษาเรื่องเชาวน์ปัญญาเพื่อทำให้เข้าใจพัฒนาการและสร้างเสริมระดับความสามารถทางเชาวน์ปัญญาของบุคคลเชาวน์ปัญญาของบุคคลแบ่งองค์ประกอบทั่วไปสองประเภทคือ เชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการถ่ายทอดทาพันธุกรรม หมายถึงองค์ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาประเภทที่ไม่เกิดจากการเรียนรู้หรืออาศัยประสบการณ์ เป็นความสามารถพื้นฐานโดยทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ หมายถึงองค์ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากสังคมและสิ่งแวดล้อม ยิ่งมีประสบการณ์และการเรียนรู้มากเท่าใด พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาก็จะมากขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง
- อัญชลี จุมพฎจามีกร, สเปญ อุ่นอนงค์, มานพ ศริมหาราช. “ปัญญาอ่อน”. วารสารโรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (พ.ค.-ส.ค.2526), หน้า 11.
- วิจิตรพาณี เจริญขวัญ. (2523). การทดสอบทางจิตวิทยา. กรุงเทพ :โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
- ศูนย์สุขวิทยาจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2530). อนุสารเรื่องเชาวน์ปัญญา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ราชทัณฑ์.
- สถิต วงส์วรรค์. (25235). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ :สำนักพิมพ์บำรุงสาสน์.
- Bennard, Harold W. (1954). Psychology of Learning and Teaching. McGraw Hill Book Co.,
- Bigge, Morris L.& Hunt, Maurice P. (1962). Psychological Foundation of Education. Harper & Row, 2nd Ed.
- Blair, Glenn Myers, Jone, R. Stewart, & Simpson, Ray H. (1968). Educational Psychology. MacMillan. 2nd Ed.
- Cecco, John P. De. (1968). The Psychology of Learning and Instruction : Educational Psychology. Prentice-hall.
- Fryer. Douglas H, (1960). General Psychology. New York :Bames&Noble, Inc.
- Hilard, Emest R. (1965). Introduction to Psychology. 4th ed. New York : Harcourt Brace and World, Inc.,