ครูกับความรู้เกี่ยวกับอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

Influence of Heredity

อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อลักษณะบุคคล คือ ความผิดปกติหลายอย่างที่เป็นผลมาจากยีนและโครโมโซม ซึ่งความผิดปกตินี้ก่อให้เกิดความพิการของร่างกาย รูปร่างลักษณะหน้าตา เชาวน์ปัญญา ตลอดจนทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสามารถแบ่งความผิดปกติออกได้เป็นดังนี้ 1. บุคลิกภาพ 2. การปรับตัวและการแสดงอารมณ์ 3. ผู้ที่มีความผิดปกติของโครโมโซมมักมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากคนปกติและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล

1. ความหมายของพันธุกรรม

พันธุกรรม (Heredity) หมายถึง ลักษณะต่างๆ ของ บรรพบุรุษที่ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานด้วยวิธีสืบพันธ์ ลักษณะเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านทางยีน ซึ่งอยู่ในโครโมโซม ลักษณะที่ถ่ายทอดมานี้เป็นลักษณะติดตัวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีจะเจริญขึ้นมาก มนุษย์สามารถใช้ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงอวัยวะบางส่วนได้ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้

2. อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อลักษณะบุคคล

ความผิดปกติหลายอย่างที่เป็นผลมาจากยีนและโครโมโซม ซึ่งความผิดปกตินี้ก่อให้เกิดความพิการของร่างกาย รูปร่างลักษณะหน้าตา เชาวน์ปัญญา ตลอดจนทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสามารถแบ่งความผิดปกติออกได้เป็นดังนี้

  1. บุคลิกภาพ
  2. การปรับตัวและการแสดงอารมณ์
  3. ผู้ที่มีความผิดปกติของโครโมโซมมักมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากคนปกติ

2.1 อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล

สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง สภาพภายนอกตัวบุคคลหรือสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล อาจเป็นสถานที่ ผู้คน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ค่านิยมความเชื่อ ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของมนุษย์สิ่งแวดล้อมทำให้คนเราแตกต่างกัน นอกจากลักษณะต่างๆ ที่คนได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม ทำให้คนแตกต่างกันแล้ว ยังมีอิทธิพลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากพันธุกรรม สิ่งนั้นได้แก่ สิ่งแวดล้อม สภาวการณ์และสิ่งต่าง ๆ ที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นอกเหนือจากพันธุกรรม ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู การคบเพื่อน การสังคม การศึกษา การสมาคม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ดินฟ้าอากาศ ที่อยู่อาศัย อาหาร น้ำ ลำดับที่ในการเกิด สื่อมวลชน อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ นักจิตวิทยา ได้ทำการศึกษาค้นคว้าแล้ว และจากการสังเกตของเราทั้งหลาย เป็นที่ประจักษ์ว่า สิ่งแวดล้อมทำให้พฤติกรรมของคนเป็นไปทั้งในทางที่ดีหรือร้ายได้ต่าง ๆ กันพอจะแยกพิจารณาเป็นอย่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

1. สิ่งแวดล้อมก่อนคลอด

หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบุคคลตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิมาจนกระทั่งถึงกำหนดคลอด ดังนั้น อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมก่อนเกิดนั้นจึงขึ้นอยู่กับสุขภาพของมารดาเป็นสำคัญ อันได้แก่

1) การบริโภคอาหารของมารดา (Maternal Nutrition) อาหารที่ตัวอ่อนจะได้รับนั้นจะผ่านจากมารดาโดยอาศัยสายรก ดังนั้นในระยะนี้มารดาควรได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อให้เกิดพัฒนาการที่ดีสำหรับตัวอ่อนในครรภ์

2) ยา (Drug) ในระหว่างการตั้งครรภ์ การใช้ยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะยาบางชนิดอาจมีผลกระทบต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ เช่น ยาทาลิโดไมด์ (Thalidomide) ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ จะมีผลระงับการเจริญเติบโตของกระดูกแขนและขา อาจทำให้ทารกพิการแขนขาได้

3) บุหรี่และสุรา (Tabacco and Alcohol) มารดาที่สูบบุหรี่มากระหว่างการตั้งครรภ์อาจมีผลให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ เกิดการคลอดก่อนกำหนด หรืออาจถึงแท้งได้ในโอกาสที่สูงถึง 2.5 เท่า ในขณะที่แอลกอฮอล์มีผลให้เด็กที่เกิดมาปัญหาอ่อน หัวใจโต คลอดก่อนกำหนด และถึงแท้งได้เช่นกัน

4) สารกัมมันตภาพรังสี (X-ray and Radium) ในระหว่างตั้งครรภ์ควรเลี่ยงการรับรังสี X-ray โดยเด็ดขาดเนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลถึงร่างกายและเม็ดเลือดได้

5) สุขภาพของมารดา (Maternal Health) การเจ็บป่วยของมารดาในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ มีผลต่อทารกในครรภ์ได้โดยตรง เช่น ไวรัสหัดเยอรมัน (German Measier) ทำให้มีโอกาสแท้งสูงมาก หรือเกิดมาพิการ ไวรัสเอดส์ (AIDS) ทำให้ภูมิคุ้มกันของเด็กบกพร่อง ติดเชื้อได้ง่าย

6) อุบัติเหตุ (Accident) ต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์ ดังนั้น ตัวมารดาและผู้ใกล้ชิดจึงควรระวังไม่ให้เกิดการเสี่ยง ต่อการเกิดเหตุการณ์ที่อันอาจเป็นอันตรายได้

7) สุขภาพจิตของมารดา (Mental Health) ถึงแม้ว่าจะไม่มีเส้นประสาทเชื่อมโยงความรู้สึกจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ก็ตาม แต่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ว่า สุขภาพจิตของมารดาจะส่งผลต่อสุขภาพของทารกในครรภ์โดยตรง โดยต่อมไร้ท่อจะผลิตฮอร์โมนชนิดหนึ่งเข้าสู่กระแสเลือดเมื่อมารดามีความเครียดสูง หรืออยู่ในอารมณ์โกรธ ตกใจ หรือตื่นเต้น ส่งผลให้ทารกในครรภ์อาจคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ สุขภาพไม่ดี

2. สิ่งแวดล้อมระหว่างคลอด

หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อทารกตั้งแต่เริ่มคลอดจากครรภ์ ซึ่งในช่วงเวลานี้แม้จะไม่กินเวลานานนัก แต่ปัญหาบางประการก็อาจจะทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อทารกได้ง่าย ได้แก่

1) ถ้ามีการกระทบกระเทือนต่อระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายโดยเฉพาะส่วนสมอง เช่น รกพันคอ หรือเชิงกรานของแม่เล็กเกินไป หรือศีรษะของทารกโตเกินไป ทำให้สมองของทารกขาดออกซิเจน หากขาดออกซิเจนนาน 18 วินาที อาจมีผลกับระบบการเห็น การพูด การได้ยิน และถ้าหากนานเกิน 5-8 นาที เซลล์สมองจะถูกทำลาย ทำให้เป็นปัญญาอ่อนได้

2) ถ้าสมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือนจากการทำคลอดของแพทย์ เช่น การใช้คีมคีบขมับ หรือใช้เครื่องสุญญากาศดูดศีรษะทารก ถ้ารุนแรงเกินไปจะทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนได้

3) ในกรณีที่ช่องคลอดมารดาติดเชื้อกามโรคโกโนเรีย (Gonorrhea) หรือหนองใน เชื้อโรคจะทำลายเยื่อบุนัยน์ตาของทารกได้

3. สิ่งแวดล้อมหลังคลอด หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบุคคลนับตั้งแต่คลอดออกมาจากครรภ์มายังโลกภายนอก สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ได้แก่

1) สถาบันครอบครัว ครอบครัวถือว่าเป็นสถาบันแห่งแรกที่มีความสำคัญต่อพฤติกรรมของบุคคลในด้านต่าง ๆ เช่น วิธีการอบรมเลี้ยงดู สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ความมุ่งหมายของพ่อแม่ เป็นต้น

2) สถาบันการศึกษา เป็นสิ่งที่สำคัญรองลงมาจากสถาบันครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นแหล่งที่สร้างพฤติกรรม ส่วนสถานศึกษาจะเป็นแหล่งหล่อหลอมพฤติกรรมของบุคคลในการใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพของครู บรรยากาศในสถานศึกษา เพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา หลักสูตร วิธีการสอนของสถาบัน เป็นต้น

3) สถาบันศาสนา มีหน้าที่เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และมีบทบาทในการกำหนดพฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลในศาสนานั้น ๆ อีกด้วย เนื่องจากอิทธิพลทางศาสนาจะมีผลต่อจิตใจและศรัทธาสูงมาก

4) สถาบันสื่อมวลชน ในปัจจุบันต้องเป็นที่ยอมรับว่าสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ มีบทบาทอย่างมากต่อสังคม จึงมีอิทธิพลต่อการกำหนดพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นสมาชิกในสังคมนั้นๆ ทั้งทางบวกและทางลบ

2.2. ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

นักจิตวิทยาส่วนใหญ่มีความเชื่อในเรื่องที่ว่า พฤติกรรมของบุคคลนั้นไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะการแสดงปฏิกิริยาร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ความแตกต่างของลักษณะสิ่งมีชีวิตไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ต่างกันเท่านั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อลักษณะทางพันธุกรรม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

1. อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง อาหาร สารเคมี รังสีต่างๆ

2. อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายใน ได้แก่ อายุ เพศ และฮอร์โมน

2.3 การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการ

1) ควรมีการวางแผนล่วงหน้า ว่าจะมีบุตรเมื่อใดเพราะการมีลูกเมื่อพร้อมจะเป็นผลดีต่อเด็กเป็นอย่างยิ่ง การที่พ่อแม่มีเจตคติที่ดีต่อลูกจะเกิดขึ้นมา จะทำให้พ่อแม่มีกำลังใจและความพยายามในการเตรียมตัวและเตรียมใจจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่ลูกในการวางแผนล่วงหน้าที่จะมีลูกนั้น มีข้อควรคำนึงหลายประการ อาทิเช่นวันในการจะมีบุตรวัยที่เหมาะสมจะอยู่ในระหว่าง 21 – 30 ปี ไม่ควรต่ำกว่า 18 ปี หรือไม่ควรสูงกว่า 40 ปี เพราะการมีลูกอายุน้อยเกินไป ร่างกายของแม่ก็ยังพัฒนาไม่เต็มที่ พ่อแม่เองอาจขาดความรู้ และประสบการณ์ในการเลี้ยงดูเด็ก ส่วนการมีบุตรเมื่ออายุมากเกินไปแนวโน้มว่าลูกจะผิดปกติได้ง่าย เนื่องจากร่างกายของแม่เริ่มทรุดโทรมและมีการสะสมสารพิษต่าง ๆ ไว้มากแล้ว เนื่องจากเรื่องของวัยที่จะมีบุตรแล้ว เรื่องของกลุ่มเลือดก็มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของเด็กด้วย กล่าวคือ คู่สมรสควรได้รับการตรวจเลือดก่อน แต่งงาน หรือก่อนการมีลูกเพราะหากมีความผิดปกติจากปัจจัย Rh ในเลือดทำให้ Rh ของเลือดในลูกและแม่ไม่เข้ากัน คือ พ่อ Rh+ แม่ Rh- ลูก Rh+ ในการตั้งครรภ์ครั้งแรกขณะคลอดเม็ดเลือดแดงของลูกจะผ่านเข้าไปในกระแสโลหิตของแม่ทำให้ Rh+ เข้าไปในเลือดแม่ ร่างกายของแม่จะสร้าง Antibody ขึ้นอยู่ในร่างกายของแม่ต่อไป และเมื่อตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง Antibody Rh+ ที่แม่สะสมอยู่นี้จะเข้าไปในกระแสโลหิตทารก และการทำลายเม็ดเลือดแดงของทารก ทำให้ทารกตายได้ ถ้ารอดชีวิตก็อาจเป็นอัมพาตสมองบกพร่องเพราะเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเนื่องจากขาดออกซิเจนเลี้ยงสมอง

2) การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมขณะตั้งครรภ์ ได้แก่อาหารที่แม่รับประทาน ควรเป็นอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อการพัฒนาส่วนต่าง ๆของทารกในครรภ์ อาหารชนิดใดให้โทษต่อพัฒนาการของทารก ควรงดเว้น เช่น ผงชูรส ไม่ควรกินมากเพราะอาจทำให้ทารกพิการได้

2.1) สุขภาพของแม่ควรบำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา เพราะ จะทำให้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อาจแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้หรือสติปัญญาเจริญช้าควรพยายามหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น กามโรค หัดเยอรมัน เพราะจะทำให้เกิดพิการตาบอดหูหนวก สมองพิการเป็นต้น ยาที่รับประทานเข้าไปขณะตั้งครรภ์ก็ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจเกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ได้ เช่น ยาทาลิโดไมค์ ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ ทำให้ทารกมีร่างกายที่ผิดปกติ นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพจิตของแม่ขณะตั้งครรภ์ ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก การที่แม่อารมณ์เครียด ไม่สบายใจ วิตกกังวลตลอดเวลา เศร้าโศกจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสภาพเคมีในร่างกาย หรือเกิดผิดปกติในด้าน การไหลเวียนของโลหิต ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ดังนั้นจึงควร รักษาสุขภาพจิตให้ดีด้วย

2.2) สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน ควรเป็นที่สะอาด มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ปลอดภัยจากสารพิษหรือกัมมันตรังสี เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้ จะทำให้แม่เจ็บป่วยง่าย

2.3) อุบัติเหตุ ขณะตั้งครรภ์ควรปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวังหากเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม ได้รับการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง อาจแท้งได้

3) สิ่งแวดล้อมหลังคลอดที่มีผลต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมของบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุให้บุคคลมีความแตกต่างกันคือ

3.1) บ้านหรือครอบครัว นับเป็นสถาบันสังคมแห่งแรกที่มนุษย์รู้จักสภาพแวดล้อมในบ้านนับตั้งแต่การอบรม เลี้ยงดู ความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น ที่ทุกคนในครอบครัวที่มีต่อกัน ล้วนมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเป็นอย่างมาก พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกแบบประชาธิปไตยย่อมทำให้ลูกเกิดเป็นคนมีเหตุผล ช่วยตัวเองได้ เคารพสิทธิผู้อื่น ในขณะที่เด็กถูกตามใจอาจกลายเป็นเด็ก เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง หรือเด็กที่พ่อแม่เลี้ยงอย่างเข้มงวด แบบเผด็จการ เด็กอาจเป็นคนไม่เชื่อใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก เป็นต้น

3.2) โรงเรียนนั้นเป็นสถาบันทางสังคมแห่งที่สองรองจากบ้านที่ให้การอบรมเด็กสิ่งแวดล้อมที่ดีของโรงเรียน เช่น ได้ครูที่เป็นแบบอย่างที่ดี มีกลุ่มเพื่อนนักเรียนที่ดี หลักสูตรการเรียนการสอนที่ดี เน้นคุณธรรม ความมีระเบียบ วินัย สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กเรียนรู้ จะเป็นคนดี เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย

แนวทางการจัดสภาพแวดล้อมตามแนวคิดของมอนเตสซอรี่

จีระพันธุ์ พูลพัฒน์ (2549) ได้รวบรวมลักษณะของสิ่งแวดล้อมในอุดมคติของมอนเตสซอรี่ ซึ่งสามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ 4 ประเด็น ดังนี้

1. การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

ทุกอย่างที่จัดไว้ในห้องเรียนมีขนาดเล็ก เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ โต๊ะ เก้าอี้ วัสดุอุปกรณ์อยู่ในสภาพที่เด็กหยิบออกมาใช้ได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ถือหลักของความจริง (“Reality” principle) นำของจริงมาให้เด็กใช้ เนื่องจากเมื่อเด็กต้องช่วยเหลือตนเอง หรือช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เด็กต้องเข้าไปทำเป็นของจริง จึงนำของจริงมาใช้ในห้องเรียน เช่น แก้วจริง มีดจริงๆ สำหรับทำอาหาร และทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์จริง ทั้งนี้ ควรให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติรอบตัวเพื่อช่วยพัฒนาทั้งกายและจิต ให้เด็กมีความสนุกสนานในการสำรวจ และจัดการกับสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ มีสิ่งช่วยกระตุ้นเด็กในห้องเรียน อาจจะเป็นภาพติดผนัง โต๊ะสำรวจธรรมชาติ สัตว์เลี้ยง เป็นต้น

2. การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อความสุนทรียะ

คำว่า สุนทรียะ หมายถึง สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ควรมีความสวยงาม การตกแต่งที่เจริญหูเจริญตา มีสีสันไม่ร้อนแรง เพื่อให้เด็กซึมซับความงามของสิ่งต่างๆ รอบตัว ความสวยงามดังกล่าวเชื่อมต่อกับความมีระเบียบ เด็กได้รับการกระตุ้นที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมทางสุนทรียะมีคุณภาพและมีระเบียบด้วย ของทุกอย่างในห้องเรียนจะมีที่อยู่และกำหนดไว้อยู่แล้ว ของเหล่านี้จะวางในสภาพที่เด็กหยิบจับได้เอง ดังนั้น ความมีระเบียบและความงดงามหมดจดจะปรากฏให้เห็น วัสดุต่างที่ใช้ในห้องเรียนควรทำความสะอาดได้ง่าย หรือล้างได้เพื่อจะได้ฝึกให้เด็กมีนิสัยรักความสะอาด ซึ่งเป็นนิสัยที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลักของชีวิต (Sensitive periods) และสิ่งเหล่านี้จะติดตัวไปจนโต ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมทั้งมวลที่กล่าวมาแล้วจะช่วยสร้างให้เกิดบรรยากาศของความสงบและสันติ

3. การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการใช้ปัญญา

จุดแรกที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับอุปกรณ์เพื่อการสอนที่จัดไว้ในสิ่งแวดล้อม จะต้องช่วยพัฒนาการใช้ปัญญาของเด็กผ่านกิจกรรมการสำรวจ เพราะเป็นวิถีทางที่เด็กเรียนรู้ตามขั้นตอนของพัฒนาการ จุดที่สองเกี่ยวกับอุปกรณ์ คือ ในห้องเรียนจะมีอุปกรณ์แต่ละชนิดเพียงชุดเดียว เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องการแบ่งปัน การให้ความเคารพ และเห็นคุณค่าของวัสดุอุปกรณ์ ลักษณะเด่นเฉพาะของห้องเรียนมอนเตสซอรี่ คือ สถานการณ์ควบคุมความมีอิสระโดยการจัดอุปกรณ์ เด็กมีอิสระในการทดลองกับชุดอุปกรณ์ ได้เรียนรู้ที่จะใช้อุปกรณ์ตามจุดมุ่งหมายของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ใช้ด้วยความระมัดระวัง และเคารพในอุปกรณ์ที่ใช้ รู้จักหมุนเวียนกันในการใช้อุปกรณ์ คืนอุปกรณ์สู่ที่เดิมในรูปแบบเดิมที่พร้อมสำหรับคนอื่นจะใช้

4. การจัดสภาพแวดล้อมทางสังคมและอารมณ์

เด็กได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อมที่จัดเอาไว้เพื่อสนองความต้องการของเขา เด็กได้เรียนรู้ที่จะให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่ ต่อเพื่อน และได้รับความเคารพจากผู้อื่นภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีลักษณะพิเศษ คือ การจัดกลุ่มในแนวตั้ง เป็นการจัดกลุ่มคละอายุ เพื่อให้เด็กมีโอกาสดูแลคนอื่น และได้รับการดูแลจากคนอื่น จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งคือ บรรยากาศที่มีระเบียบทำให้เด็กเคารพข้อตกลงภายใน (Inner rules) เด็กมีอิสระในการเลือกงาน เลือกที่นั่งทำงาน และเพื่อน เด็กจะซึมซับสภาพที่เงียบ มีระเบียบ สงบ ในบรรยากาศของความร่วมมือ ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกและผู้ประสานงาน สังเกตเด็กในขณะที่ดูแลกลุ่มเด็ก และดูแลเด็กแต่ละวัยด้วยในเวลาเดียวกัน สาธิตการใช้อุปกรณ์ สังเกตและบันทึกการทำงานของเด็กกับอุปกรณ์และพฤติกรรมอื่นๆ

5. ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

นักจิตวิทยาส่วนใหญ่มีความเชื่อในเรื่องที่ว่า พฤติกรรมของบุคคลนั้นไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะการแสดงปฏิกิริยาร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

6. อิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อความแตกต่างของบุคคลในด้านต่างๆ

6.1 ความแตกต่างทางด้านร่างกาย (Physical)

เป็นความแตกต่างที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด ซึ่งรับอิทธิพลมาจากพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราสามารถจำแนกความแตกต่างทางด้านร่างกายของแต่ละบุคคล ได้แก่

1) ลักษณะโครงสร้างทางร่างกาย เช่น ลักษณะสีผิว หน้าตา ลักษณะรูปร่าง ฯลฯ ซึ่งจะเป็นไปตามลักษณะโครงสร้างตามเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน

2) เพศ ทารกที่เกิดใหม่จะได้รับอิทธิพลทางเพศมาจาก เซ็กซ์โครโมโซม โดยตรง ซึ่งสรีระของชายและหญิงก็จะปรากฏความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

3) ชนิดของกลุ่มโลหิต โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีกลุ่มโลหิตเพียง 4 กลุ่ม คือ A, B, O และ AB ซึ่งบุคคลใดจะมีโลหิตกลุ่มใดขึ้นอยู่กับพันธุกรรมจากบิดาและมารดาของตนดังตาราง

4) การทำงานของอวัยวะภายใน มีการทำงานของระบบภายในร่างกายที่ได้รับการยืนยันว่าสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น ความดันเลือด เป็นต้น

5) ลักษณะของโรคภัยไข้เจ็บ และข้อบกพร่องทางร่างกายบางประการที่เกิดจากพันธุกรรม เช่น ตาบอดสี โรคเลือดไหลไม่หยุด ลมบ้าหมู ธาลัสซีเมีย เบาหวาน นิ้วเกิน นิ้วติด ผิวเผือก เป็นต้น

6.2 ความแตกต่ างทางด้านสติปัญญา (Intelligence)

สติปัญญา หมายถึง ความสามารถทางสมองในการจำ คิด วิเคราะห์ หาเหตุผล เรียนรู้ และการกระทำกิจกรรมต่างๆ ให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เจนเซน (Jensen) สรุปไว้ว่า ความฉลาดและความโง่ของแต่ละบุคคลเป็นผลมาจากพันธุกรรมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์เป็นผลจากสิ่งแวดล้อม

6.3 ความแตกต่างด้านอารมณ์ (Emotion)

อารมณ์ (Emotion) หมายถึง สภาวะของจิตใจที่มีการ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าอารมณ์เป็นผลมาจากการถูกกระตุ้น จากสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายใน

6.4 ความแตกต่างทางสังคม (Social)

ความแตกต่างทางสังคม หมายถึง ความแตกต่างด้านการแสดงออกทางพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่นในสังคม ได้แก่ การสร้างสัมพันธภาพกับสมาชิกอื่นในสังคม การวางตัว และการปรับตัว เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเป็นในทางบวกหรือลบในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่บุคคลเติบโตมา โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมในสถาบันครอบครัว

6.5 ความแตกต่างด้านบุคลิกภาพ (Personality)

บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคลที่แสดงออกมาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยเหตุนี้บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไป นักจิตวิทยาเชื่อว่าบุคลิกภาพเป็นพฤติกรรมโดยส่วนรวมที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลายาวนาน ดังนั้น บุคลิกภาพจึงได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ สิ่งแวดล้อมในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกัน โดยปัจจัยที่แตกต่างในสภาพแวดล้อมทำให้บุคลิกภาพของแต่ละบุคคล ถูกหล่อหลอมให้มีความแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม แม้บุคลิกภาพจะเป็นสิ่งที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยและความเคยชินก็ตาม แต่บุคคลก็สามารถพัฒนาบุคลิกภาพที่ไม่พึงประสงค์ให้ดีขึ้นได้

จากข้อความข้างต้นจึงทำให้สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันนั้น ได้แก่ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมนั่นเอง พันธุกรรมนั้นเป็นสาเหตุประการแรกที่ทำให้บุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อบุคคลได้ออกจากนอกสถาบันครอบครัวเพื่อไปสู่สถาบันอื่นๆ สิ่งแวดล้อมจึงเข้ามามีผลต่อความแตกต่างของแต่ละบุคคล

สรุป

อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อลักษณะบุคคล คือ ความผิดปกติหลายอย่างที่เป็นผลมาจากยีนและโครโมโซม ซึ่งความผิดปกตินี้ก่อให้เกิดความพิการของร่างกาย รูปร่างลักษณะหน้าตา เชาวน์ปัญญา ตลอดจนทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งสามารถแบ่งความผิดปกติออกได้เป็นดังนี้ 1. บุคลิกภาพ 2. การปรับตัวและการแสดงอารมณ์3. ผู้ที่มีความผิดปกติของโครโมโซมมักมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากคนปกติและอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล คือ สภาพภายนอกตัวบุคคลหรือสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล อาจเป็นสถานที่ ผู้คน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ค่านิยมความเชื่อ ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของมนุษย์สิ่งแวดล้อมทำให้คนเราแตกต่างกัน นอกจากลักษณะต่างๆ ที่คนได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม ทำให้คนแตกต่างกันแล้ว ยังมีอิทธิพลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากพันธุกรรม สิ่งนั้นได้แก่ สิ่งแวดล้อม สภาวการณ์และสิ่งต่าง ๆ ที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นอกเหนือจากพันธุกรรม ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู การคบเพื่อน การสังคม การศึกษา การสมาคม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ดินฟ้าอากาศ ที่อยู่อาศัย อาหาร น้ำ ลำดับที่ในการเกิด สื่อมวลชน อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ นักจิตวิทยา ได้ทำการศึกษาค้นคว้าแล้ว และจากการสังเกตของเราทั้งหลาย เป็นที่ประจักษ์ว่า สิ่งแวดล้อมทำให้พฤติกรรมของคนเป็นไปทั้งในทางที่ดีหรือร้ายได้ต่าง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมนั้น นักจิตวิทยาส่วนใหญ่มีความเชื่อในเรื่องที่ว่า พฤติกรรมของบุคคลนั้นไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะการแสดงปฏิกิริยาร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ความแตกต่างของลักษณะสิ่งมีชีวิตไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ต่างกันเท่านั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมซึ่งความรู้เกี่ยวกับอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้สอนต้องเรียนรู้และเข้าใจผู้เรียนในความแตกต่างที่ส่งผลต่อการรับรู้ต่างๆและนำมาปรับใช้แก้ไขในการจัดการเรียนการสอนที่จะเกิดในตัวผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลอ้างอิง

  1. ศรีเรือน แก้วกังวาล. (2545). จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
  2. ทิศนา แขมมณี. (2545). รูปแบบการเรียนการสอน: ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพมหานคร.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  3. พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์. (2556). ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  4. พรรณี ชูทัย เจนจิต. (2550). จิตวิทยาการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5. สำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการกรุงเทพ.
  5. สุรางค์ โค้วตระกูล. (2550). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  6. Bernstein. D. A. (1999). Essentials of Psychology. Houghton Mifflin Company.
  7. Bernstein. D. A. (1988). Psychology. Houghton Mifflin Company. Nairne. J. S. (2000) Psychology : the adaptive mind. (2nd ed.) Australia : Wadsworth.
  8. Cole, Lawrence E., & Bruce, William F. (1950). Educational Psychology. World Book Co.
  9. Cronbach, Lee J, (1962). Educational Psychology. 2nd Ed. Harcourt, Brace & World Inc.
  10. Crow, Lester D., & Crow, Alice. (1964). Educational Psychology Revised Ed. Eurasia Publishing House, Ramnagar, New Delhi-1

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Sukhachan's KM

แค่อยากแบ่งปัน