ความหมายของจิตวิทยา
คำว่า Psychology (จิตวิทยา) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ
ได้แก่ Psyche (Mind = จิตใจ) และ Logos (Knowledge = ศาสตร์ องค์ความรู้)ความหมายโดยรวมของ Psychology จึงหมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรมของอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสำคัญ เพื่ออธิบาย ทำความเข้าใจทำนาย และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆ ได้
*สามารถติดตามตำนาน เทพนิยายของ Psyche (ไซคี) หญิงสาวผู้ถูกนำชื่อมาใช้ในการอธิบายวิทยาการทางจิตวิทยาทั้งมวลได้ในส่วนของ Mythology ในโอกาสต่อไป
จิตวิทยาตามแนวพุทธ
จิตวิทยา ตามแนวพุทธนั้นจะเน้นไปในทางปัญญาดังที่ ดร.โสรีช์ โพธิ์แก้วเขียนไว้ในหนังสือการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดแนวพุทธว่า จิตใจเป็นรากฐานของความรู้สึก ความคิด การกระทำ บุคลิกภาพ ทัศนะ ที่มีต่อโลก ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และทิศทางในการดำเนินชีวิตจิตใจเป็นรากฐานของการดำรงชีวิต ของระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบการเมือง ซึ่งเกี่ยวพันกันและกันเป็นเนื้อเดียวกัน กิจกรรมต่างๆ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งในระดับบุคคล ชุมชนสังคม องค์กร ระดับระหว่างประเทศ ล้วนแต่มีจิตใจเป็นรากฐานและกำหนดทิศทางของกิจกรรมและกาเรเคลื่อนไหวเหล่านั้นทั้งสิ้น
การศึกษาเรื่องจิตใจจึงเป็นการศึกษาถึงความเกี่ยวพันเป็นหนึ่งเดียวกันขององค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกันแล้วเป็นชีวิต ชีวิตจึงเป็นคำที่ชี้ถึงการดำรงอยู่โดยความเชื่อมโยงกันอย่างเอื้ออาศัยกันของทุกสิ่งในจักรวาล ชีวิตในสายตาของนักเคมีอาจมีความอย่างหนึ่ง ชีวิตในสายตาของนักชีววิทยาอาจมีความหมายอย่างหนึ่ง ชีวิตในสายตาของนักธุรกิจอาจมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตในสายตาของนักวิทยาศาสตร์อาจมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง แต่ชีวิตในตัวเองเป็นภาวะแห่งการดำรงอยู่ในภาวะของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกันและมีจิตใจเป็นรากฐานของความเป็นไปนั้น
พุทธศาสตร์กับวิชาจิตวิทยา
วิชาจิตวิทยาเป็นศาสตร์เกี่ยวกับจิตใจ เพิ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังมาไม่นานนี่เอง มีพื้นฐานมาจากวิชาปรัชญาเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ ปัจจุบันได้แตกสาขาออกไปมากมาย เช่นพฤติกรรมศาสตร์ จิตเวช หรือแทรกเป็นยาดำอยู่ในศาสตร์อื่นๆ ไม่มากก็น้อย ทฤษฎีทางจิตวิทยาก็มีอยู่มากมายในการอธิบายความเป็นไปของมนุษย์ มีการทดลอง มีการค้นคว้าร่วมกับการทำงานของสมองซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาไปมากพอสมควร
สิ่งหนึ่งที่ความรู้ทางจิตวิทยายังไปไม่ถึงคือกลไกการทำงานของจิต เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มีนักจิตวิทยาระดับโลกชื่อ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้เสนอโครงสร้างของจิตออกมาเป็นที่ฮือฮากันไปทั่ววงการ โดยเสนอว่า จิตแบ่งหน้าที่ออกเป็นสามส่วนคือ
ID คือความอยากได้ อยากมี หรือตัณหาในภาษาไทยนั่นเอง
EGO คือตัวตนของมนุษย์ที่แท้จริงที่อยากจะทำตามที่ตัณหาต้องการ
SUPER-EGO คือตัวตนอีกตัวหนึ่ง แต่เป็นตัวตนที่พยายามระงับความอยาก ความต้องการของตัณหา
ฟรอยด์ได้ใช้ทฤษฎีนี้ในการอธิบายกลไกการเกิดปัญหาทางจิตใจว่า เกิดจากความไม่สมดุลย์ในการทำหน้าที่ของจิตทั้งสามส่วนนี้ เช่นบางครั้ง SUPER-EGO มีมากเกินไป มนุษย์ก็จะเกิดการเก็บกด ฟรอยด์ก็เสนอว่าให้สนองตัณหาเสียบ้าง เป็นการระบายความเก็บกด ในยุคนั้นทฤษฎีของฟรอยด์เลยถูกวิจารณ์กันขนานใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์
ว่าไปแล้วทฤษฎีของฟรอยด์ก็เป็นไปตามวิถีของปุถุชนนั่นแหละ ไม่ต่างจากทฤษฎีของอินเดียโบราณสักเท่าไหร่ อย่างเรื่องกามสุขัลลิกานุโยค คือปล่อยให้ EGO สนองตัณหากันให้เต็มที่ กับ อัตตกิลมถานุโยค นั่นคือ ปล่อยให้ SUPER-EGO ทำงานข่ม EGO ให้ตายไปข้างหนึ่ง
เป็นที่น่าเสียดายว่าพุทธศาสตร์ได้ค้นพบกลไกของจิตที่นักปรัชญาและนักจิตวิทยาต้องการนักหนา แต่กลับไม่ได้มาค้นหาในศาสตร์นี้ แต่ว่าไปแล้วเรื่องกลไกของจิตก็ถูกซ่อนไว้อย่างดีในพระไตรปิฎกมานับพันปีในชื่อของปฏิจจสมุปบาท แม้แต่ชาวพุทธเองก็รู้เรื่องนี้น้อยเต็มทน ในประวัติศาสตร์ ฟรอยด์เองก็ได้วิจารณ์ศาสนาพุทธว่าเป็นลัทธิที่มองโลกในแง่ร้าย คือมองแต่เรื่องทุกข์ คงมีแต่ไอสไตน์เท่านั้นที่ยังมองศาสนาพุทธในแง่ดี
เมื่อเปรียบเทียบกับพุทธศาสตร์กับจิตวิทยาของฟรอยด์แล้ว พุทธศาสตร์แสดงให้เห็นว่าปัญหาทางจิตใจของมนุษย์เกิดจาก ID หรือตัณหา ส่วน EGO เป็นผลที่เกิดตามมาจากตัณหาอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งสนองตัณหาเท่าไหร่ EGO ก็ยิ่งเจริญเติบโต ก็ยิ่งทุกข์เพราะสนองไม่ทัน ความจริง SUPEREGO ที่
ฟรอยด์พูดถึง เป็นตัวตนส่วนที่ดีงาม เป็นสติปัญญาของมนุษย์ ที่คอยต่อสู้กับตัณหา แต่ฟรอยด์กลับมอง SUPER-EGO ผิดไป
พุทธศาสตร์น่าจะเป็นบิดาแห่งวิชาจิตวิทยาหรือจิตเวชในปัจจุบัน หากนำไปปูเป็นวิชาพื้นฐานในศาสตร์เหล่านี้รวมทั้งศาสตร์ที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ชาวโลกได้ประโยชน์จากการประยุกต์ศาสตร์เหล่านี้บ้าง
ความหมายของจิตวิทยา
ได้มีผู้ให้ความหมายของจิตวิทยาไว้หลายท่านด้วยกัน
วิลเลี่ยม เจมส์ (William James) อธิบายว่า จิตวิทยาเป็นวิชาที่ว่าด้วยกิริยา อาการ ของมนุษย์
ฮิลการ์ด (HilGard) อธิบายว่า จิตวิทยา หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์
มอร์แกรน (Morgan) กล่าวว่าจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยกรรมมนุษย์สัตว์(วิภาพร มาพบสุข.2542/2)
Walter B”Kosesnik ว่า จิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาฯ(รศ.ดร.กันยา สุวรรณแสง.2542/12)
จอห์น บี.วัตสัน ว่าจิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม(รศ.ดร.กันยา สุวรรณแสง.2542/12)
นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณเชื่อว่ามนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ภาค คือภาคร่างกายและวิญญาณ แต่ละภาคจะเป็นอิสระต่อกัน เมื่อมนุษย์ตายไปแล้วควรเก็บร่างกายเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้วิญญานที่ล่องลอยไปหวนคืนเข้าสู่ร่างเดิม
ปัจจุบันจิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมและประสบการณ์ จะศึกษาเน้นเฉพาะพฤติกรรมที่จะต้องเกี่ยวข้องกับประสบการณ์เท่านั้น กล่าวคือการแสดงพฤติกรรมนั้นๆ จะต้องศึกษาประสบการณ์เดิมช่วย และปฏิกิริยาที่ตอบสนองก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ถ้าเป็นพฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามปกติไม่มีกรเปลี่ยนแปลงการตอบสนองเลย เช่น การหุบใบของต้นไมยราบเมื่อมีอะไรมาถูกต้อง เช่นนี้ไม่อยู่ในข่ายของพฤติกรรมทางจิตวิทยา
จากความหมายดังกล่าวข้างต้น พอสรุปความหมายของวิชาจิตวิทยาได้ดังนี้ จิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือกิริยาอาการของมนุษย์ รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้างในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำให้สามารถคาดคะเนหรือพยากรณ์ได้ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต โดยใช้แนวทางหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วยในการช่วยวิเคราะห์ มีนักจิตวิทยาหลายท่านที่ได้รับการยอมรับและใช้ทฤษฎีของเขามาจนปัจจุบัน
- ความสำคัญของจิตวิทยา
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ดังนั้นผู้ศึกษาวิชาจิตวิทยาจึงสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวและ สถานที่ทำงาน ตลอดจนมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพต่างๆ ทั้งนี้เพราะหลักการทางจิตวิทยาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับงานต่างๆ มากมาย ความสำคัญและคุณค่าของวิชาจิตวิทยา เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ (ปราณี รามสูต, 2542, หน้า 4-5)
จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น มักให้ความสนใจตนเองมากกว่าผู้อื่นและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตนเอง การศึกษาจิตวิทยาซึ่งให้คำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ จึงช่วยให้ผู้ศึกษานำไปเปรียบเทียบกับตนเองและเกิดความเข้าใจตนเองไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์รู้จักยอมรับตนเองและได้แนวทางในการจัดการกับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นอาจเป็นการปรับตัว พัฒนาตน หรือเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมกับต้นเองเป็นต้น
จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อื่น ศาสตร์ทางจิตวิทยาซึ่งเป็นข้อสรุปธรรมชาติพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ นอกจากช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจ พฤติกรรมของบุคคลทั่วไปแล้ว ยังเป็นแนวทางให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ที่อยู่แวดล้อมด้วยอันอาจจะเป็นบุคคลในครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มบุคคลภายนอก ความเข้าใจดังกล่าวส่งผลให้เกิดการยอมรับในข้อดีข้อจำกัดของกันและกัน ช่วยให้มีการปรับตัวเข้าหากัน และยังช่วยการจัดวางตัวบุคคล ให้เหมาะสมกับงานหรือการเรียนหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ดีมากขึ้น
จิตวิทยาช่วยให้ได้แนวทางในการวางกฎเกณฑ์ทางสังคม เช่น กฎหมายบ้านเมือง ระเบียบปฏิบัติบางประการมักเกิดขึ้น หรือถูกยกร่างขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติพฤติกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น จิตวิทยาที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องความต้องการการยอมรับ ความต้องการสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของคน ส่งผลให้เกิดกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือการจัดให้มีวันเด็กแห่งชาติ ปีสากลสำหรับผู้สูงอายุ หรือเกิดองค์กรบางลักษณะที่ทำงานในด้านการให้โอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับบุคคลบางกลุ่ม หรือสำหรับผู้ด้อยโอกาสบางประเภท หรือแม้แต่การจัดให้มีการแข่งขันกีฬานานาชาติสำหรับคนพิการ ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของการนำความรู้เรื่องจิตวิทยาสำหรับผู้มีลักษณะพิเศษมาเป็นแนวทางปฏิบัติบางประการทางสังคม นอกจากนั้น จิตวิทยายังมีผลต่อ กฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความผิดทางกฎหมายบางลักษณะโดยมีการนำสามัญสำนึกมาร่วมพิจารณาความผิดของบุคคล เช่น กฎกมายว่าด้วยการกระทำ ความผิดของผู้เยาว์ หรือผู้ที่มีสุขภาพจิตบกพร่องที่กระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยเพราะความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งจิตวิทยาจะช่วยให้ผู้ศึกษา เกิดความเข้าใจความผิดปกติต่างๆเหล่านั้นได้มากกว่าศาตร์สาขาอื่น ช่วยให้การพิจารณาบุคคลหรือการวางเกณฑ์ทางสังคม เป็นไปอย่าง สมเหตุสมผลมากขึ้น
จิตวิทยาช่วยบรรเทาปัญหาพฤติกรรม และปัญหาสังคม ความรู้ทางจิตวิทยาในบางแง่มุมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจในอิทธิพลของสิ่งเร้า และสิ่งแวดล้อมทีมีผลต่อการหล่อหลอมบุคลิกภาพบางลักษณะ เช่น ลักษณะความเป็นผู้หญิง ลักษณะความเป็นผู้ชาย ลักษณะผิดเพศบางประการ รวมไปถึงอิทธิพลของสื่อมวลชนบางประเภท รายการโทรทัศน์บางลักษณะที่ส่งผลให้เด็กเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวอยากทำลาย หรือเกิดความเชื่อที่ผิด หรือเกิดการลอกเรียนแบบอันไม่เหมาะสมซึ่งมีผลกระทบต่อการกระทำในเชิงลบฯลฯ เป็นต้น
จากความเข้าใจดังกล่าวนี้นำไปสู่การคัดเลือกสรร สิ่งที่นำเสนอเนื้อหาทางสื่อมวลชนให้เป็นไปทางสร้างสรรค์ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมของเด็กและผู้ใหญ่ในสังคมอย่างเหมาะสม นอกจากนั้น จากคำอธิบายของจิตวิทยาในเรื่องของเจตคติของบิดามารดาบางประการที่ส่งผลให้เด็กมีลักษณะลักเพศ ก็อาจจะเป็นแนวคิดแก่บิดามารดา ในการปรับพฤติกรรมการเลี้ยงดูเพื่อให้เด็กเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมต่อไป อันนับเป็นการบรรเทาปัญหาพฤติกรรมและปัญหาสังคมไปได้บ้าง
จิตวิทยาช่วยส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต ความรู้ทางจิตวิทยาที่ว่าด้วยการเลี้ยงดูในวัยเด็กอันมีผลต่อบุคคลเมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ส่งผลให้เกิด ความพยายาม ในการสร้างรูปแบบการเลี้ยงดูที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาคนทั้งกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา เพื่อให้ได้คนดีมีประสิทธิภาพ หรือคนที่มีคุณลักษณะอันพึงปรารถนาของสังคมนั้นๆ และจิตวิทยายังช่วยให้ผู้ศึกษารับรู้โดยเร็ว เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยในพฤติกรรมผิดปกติต่าง ๆ อันนำไปสู่การแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาพฤติกรรม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางลักษณะที่ไม่เหมาะสมของบุคคล จึงกล่าวได้ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อีกศาสตร์หนึ่ง
- ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา
จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
จุดมุ่งหมายของจิตวิทยา
จิตวิทยาเป็นวิชาที่จัดอยู่ในกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้
เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรม (Understanding Behavior) ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมภายนอก กระบวนการทางจิต (Mental Process) ที่เกิดขึ้นภายใน อันจะทำให้สามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่นได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น
เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถอธิบายพฤติกรรม (Explanation Behavior) ทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้ พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีเหตุจูงใจในการแสดงพฤติกรรมทั้งสิ้น ดังนั้นนักจิตวิทยาจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคำตอบ เพื่ออธิบายถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุสำคัญแห่งพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น ๆ
เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถทำนายพฤติกรรม (Prediction Behavior) ซึ่งการทำนายนั้นหมายถึงการคาดคะเนผลที่ควรจะเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถควบคุมพฤติกรรม (Control Behavior) ที่ไม่พึงประสงค์ให้ลดลงหรือหมดไป โดยในขณะเดียวกันนั้นก็จะต้องสามารถเสริมสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นใหม่ด้วย
เพื่อให้ผู้ศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Application) ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง และ/หรือสังคมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพจิตวิทยา
- กลุ่มต่างๆ ของจิตวิทยา
กลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยา (Schools of Psychology) หมายถึง แนวคิด ทฤษฎีที่สำคัญและระเบียบวิธีการทางจิตวิทยาเพื่อสะดวกในการทำความเข้าใจและเปรียบเทียบความแตกต่างและความคล้ายคลึงของกลุ่มเป็นการจัดระเบียบแนวคิดให้เป็นหมวดหมู่ตามความเชื่อและวิธีการศึกษา โดยจัดแบ่งได้ 7 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ - กลุ่มโครงสร้างแห่งจิต (Structuralism)
กลุ่มนี้เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงความเจริญก้าวหน้าของวิชาเคมีที่มีการวิเคราะห์ สารประกอบของธาตุต่างๆ โดยอาศัยการตรวจพินิจภายในที่เกิดจากการใช้ความรู้สึก การสัมผัสและมโนภาพ ดังนั้นจุดประสงค์ของการศึกษาในกลุ่มนี้คือ การวิเคราะห์หาโครงสร้างของจิตโดยเรียกกระบวนการศึกษาจิตวิธีนี้ว่า การพินิภายใน (Introspection) เป็นการให้ผู้ถูกทดลองพิจารณาประสบการณ์ทางจิตตนเองขณะได้รับสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัส ละอธิบายความรู้สึกของตนที่เกิดขึ้น ความเชื่อเบื้องต้นที่เป็นมูลเหตุให้สนใจศึกษาเรื่องจิตธาตุ (Mental Elements) มาจากความเชื่อว่ามนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย (Body) กับจิตใจ (mind) ซึ่งต่างเป็นอิสระต่อกันแต่ทำงานสัมพันธ์กัน ดังนั้น การกระทำของบุคคลจึงเกิดจากการควบคุมและสั่งการจิตใจ ผู้นำกลุ่มนี้ คือ William Wundt เขาสรุปว่าส่วนนี้มาสัมพันธ์กันภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่เหมาะสมจะก่อให้เกิดเป็นความคิด อารมณ์ ความจำ เป็นต้น - กลุ่มหน้าที่แห่งจิต (Functionalism)
กลุ่มนี้เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1900 ผู้นำกลุ่มคือ John Dewey หรือ William James แนวคิดของกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากลัทธิปรัชญากลุ่มปฏิบัตินิยม (Pragmatism) และทฤษฎีที่สำคัญทางชีววิทยาคือ ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาล์ส ดาร์วิน (Chartles Darwin) จึงเกิดการรวมตัวขิง 2 กลุ่มนี้ขึ้น ทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายถึงการดำรงอยู่ของสัตว์ที่ต้องต่อสู้และปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ซึ่งในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตควรต้องศึกษาหน้าที่ของจิตต่อการปรับตัวภายในจิตใต้สำนึกมากกว่าการแยกแยะองค์ประกอบโครงสร้างของจิตออกเป็นส่วนๆ กลุ่มนี้เชื่อว่าจิตสำนึกของมนุษย์ทำให้กระบวนการคิดและการตัดสินใจช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ กล่าวโดยสรุปคือ กกลุ่มนี้เชื่อว่าจิตมีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมเพื่อปรับตัวให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตามทั้ง John Dewey และ William James ก็มีจุดเน้นที่ต่างกัน John Dewey เชื่อว่าเป็นประสบการณ์ (Experience) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ William James เชื่อในเรื่องสัญชาติญาณ (Instinct) ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญกว่า กลุ่มหน้าที่ของจิตใช้วิธีการศึกษาแบบสอบถาม การทดลองทางจิตวิทยาและวิธีพรรณนาเกี่ยวกับเชิงปรนัยมิใช่ใช้เพียงการพินิจภายในเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้น John Dewey ยังได้นำหลักของความคิดแนวนี้มาใช้กับการศึกษา โดยเขาเห็นว่าการเรียนการสอนควรมีจุดเน้นที่ความต้องการของผู้เรียนไม่ใช่เนื้อหาในหลักสูตร กล่าวโดยสรุป แนวคิดของกลุ่ม Functionalism เป็นดังนี้
การกระทำทั้งหมดหรือการแสดงออกมนุษย์เป็นการแสดงออกของจิตเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การศึกษาจิตใจคนจึงต้องศึกษาที่การแสดงออกในสถานการณ์ต่างๆ
การกระทำหรือการแสดงออกทั้งหมดเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล พฤติกรรมของแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป
- Sigmund Freud ผู้นำกลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychology)
กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychology) ผู้นำกลุ่มคือ Sigmund Freud จิตแพทย์ชาวเวียนนา ประเทศออสเตรีย เป็นผู้วางรากฐานของจิตวิทยาคลินิก ทฤษฎีของเขาเริ่มจากการศึกษาคนไข้โรคจิตในคลินิกของตัวเอง จุดเน้นของจิตวิเคราะห์อยู่ที่การประยุกต์วิธีใหม่ในการบำบัดรักษาบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ข้อมูลส่วนใหญ่จึงได้จากการสังเกตในคลินิกมิได้มาจากทำลองในห้องปฏิบัติการ พื้นฐานแนวคิดนี้มาจากความสนใจเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกและเชื่อว่าแรงขับทางเพศมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์มาก ความคิดหลักของ Freud คือ จิตมีลักษณะเป็นพลังงานเรียกว่า พลังจิตซึ่งควบคุมกิจกรรมต่างๆ ของบุคคล อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของ Freud ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยอย่างมาก Freud อธิบายว่า จิตของมนุษย์มี 3 ระดับ โดยเปรียบเทียบกับภูเขาน้ำแข็ง (Ice burg) คือ จิตสำนึก (Conscious mind) เปรียบเหมือน Ice burg ส่วนที่พ้นผิวน้ำซึ่งมีปริมาณเล็กน้อยเป็นสภาพที่บุคคลมีสติ รู้ตัว การแสดงออกเป็นไปอย่างมีเหตุผลและแรงผลักดันภายนอกสอดคล้องกับหลักของความจริง (Principle of Reality) จิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือจิตกึ่งสำนึก (Preconscious) เปรียบเหมือน Ice burg ที่อยู่ปริ่มผิวน้ำ เป็นสภาพที่บุคคลมีพฤติกรรมไม่รู้ตัวในบางขณะ หรือพูดโดยไม่ตั้งใจ ประสบการณ์ที่ผ่านมากลลายเป็นความทรงจำในอดีตที่จะถูกเก็บไว้ในจิตส่วนนี้ เมื่อไม่นึกถึงก็จะไม่รู้สึกอะไรแต่เมื่อนึกถึงจะสะเทือนใจทุกครั้ง จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เปรียบเหมือน Ice burg ที่อยู่ใต้ผิวน้ำซึ่งมีปริมาณมากเป็นส่วนของพฤติกรรมภายในที่บุคคลกระทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง Freud วิเคราะห์ว่าอาจเกิดจากการถูกเก็บกดหรือพยายามจะลืม เช่น ความอิจฉา ความเกลียดชัง ความขมขื่นปวดร้าว บางเหตุการณ์เหมือนจะลืมไปจริงๆ แต่ Freud อธิบายว่าแท้จริงสิ่งเหล่านั้นมิได้หายไปไหนแต่จะถูกเก็บไว้ในจิตไร้สำนึกและจะปรากฏออกมาในรูปของความฝัน การละเมอ เป็นต้น นักจิตวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตไร้สำนึกและการปฏิบัติงานของจิตไร้สำนึกเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตหรือระบบประสาท จิตไร้สำนึกจึงเป็นเหตุจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรมแทบทุกอย่าง นอกจากนั้นแนวคิดนี้ยังมีความเชื่อว่าพฤติกรรมทั้งหลายมีเหตุจูงใจมากกว่าพลังแรงขับทางเพศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม Freud ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของบุคคลดำเนินไปสู่จุดหมายของหลักแห่งความพึงพอใจ (Principle of Pleasure) หรือเพื่อความสบายใจเป็นสำคัญส่วนใหญ่เป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีสาเหตุมาจากสัญชาติญาณแห่งการดำรงพันธุ์ (Sexual Instinct) อีกทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกยังต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงตามหลักแห่งความจริง (Principle of Reality) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นตามสภาพแวดล้อมของสังคมและวัฒนธรรม ฉะนั้น พฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกตามความพอใจ เช่น สัญชาติญาณแก่งการดำรงพันธุ์ซึ่งมีตั้งแต่เด็กจึงต้องถูกกดไว้ ในบางครั้งจึงเกิดภาวะการขัดแย้งอย่างรุนแรงผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นพลังแห่งงจิตไร้สำนึก Freud กำหนดองค์ประกอบที่สำคัญของจิตไว้ 3 ส่วน คือ Id Ego และSuper ego รวม เรียกว่า พลังจิต Id เป็นสัญชาติญาณ และแรงขับที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นความต้องการดั้งเดิมของมนุษย์ เป็นแหล่งเก็บพลังงานจิตทั้งหมดที่มีอยู่ในจิตไร้สำนึก เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ การขับถ่าย การเคลื่อนไหว ความต้องการทางเพศ รวมทั้งสัญชาติญาณแห่งการทำลายและสัญชาติญาณแห่งความตาย (Death Instinct) มนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความพอใจจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ตามความต้องการ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลหรือกฎระเบียบของสังคมใดๆ Id จึงเป็นความต้องงการใฝ่ต่ำที่มีพลังขับให้ทำตามความต้องการที่มีมาแต่เกิด และพลังขับที่มีแรงผลักดันมากคือ สัญชาติญาณทางเพศ Ego เป็นพลังจิตส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมให้เหมาะสม ซึ่งบุคคลได้จากการเรียนรู้และการอบรม เป็นพลังที่ควบคุม Id ไม่ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม ไม่ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรม เป็นความพยายามในการปรับปรุงตัวให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ทางออกของ Ego ส่วนหนึ่งคือ การใช้กลวิธานในการป้องตนเอง (Defence Mechanism) เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายความทุกข์จากการเก็บกดและการระงับความขัดแย้งระหว่างความต้องการของตนเองกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี Ego เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมให้เป็นไปอย่างเหมาะสมระหว่าง Id และ Super ego Super ego เป็นผลของการถูกลงโทษจากสังคมทำให้เกิดการเรียนรู้จนกลายเป็นทัศนคติ (Attitude) คุณค่า (Value) และอุดมคติ (Ideal) เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองสามารถแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงได้ดังนั้น Super ego จึงหมายถึงค่านิยมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมคุณธรรมหลักศีลธรรมเป็นพลังที่กำหนดให้บุคคลแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับหลักแห่งความจริงและเลือกใช้กลวิธานในการป้องกันตนเอง (Defence Mechanism) อย่างเหมาะสม - กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) จอห์น บี วัตสัน นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้นำแนวคิดที่สำคัญที่เสนอให้มีการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในด้านที่สังเกต และมองเห็นได้ ซึ่งจัดว่าเป็นการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้วัตสันได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของจิตวิทยาสมัยใหม่ แนวคิดของพฤติกรรมนิยมเน้นว่าพฤติกรรมทุกอย่างต้องมีเหตุและเหตุนั้นอาจมาจากสิ่งเร้าในรูปใดก็ได้มากระทบอินทรีย์ ทำให้อินทรีย์มีพฤติกรรมตอบสนอง นักคิดในกลุ่มนี้จึงมักศึกษาพฤติกรรมต่างๆ ด้วยวิธีการทดลองและใช้การสังเกตอย่างมีระบบจากการทดลอง โดยสรุปว่าการวางเงื่อนไขเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมและถ้าเรารู้สาเหตุของพฤติกรรมเราก็จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
- กลุ่มเกสตอลท์ (Gestalt Psychology) กลุ่มเกสตอลท์ เป็นกลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยาที่ตั้งขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวเยอรมันเพื่อโต้แย้งกลุ่มทางจิตกลุ่มอื่น โดยมีแนวคิดว่าการศึกษาจิตสำนึกนั้นจะต้องศึกษาจากการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งจะมุ่งความสนใจไปที่หลักการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดระบบการรับรู้ของมนุษย์และจากการศึกษาพบว่ามนุษย์จะรับรู้ส่วนรวมของสิ่งเร้ามากกว่าเอาส่วนย่อย ๆ ของสิ่งเร้านั้นมารวมกัน นอกจากจะศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้แล้ว นักจิตวิทยากลุ่มนี้ยังศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้น กำเนิดของการพัฒนาจิตวิทยากลุ่มความรู้ความเข้าใจ
- กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism)
จิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยมพัฒนาขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1940 โดยเชื่อว่าเราสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์ได้ดีขึ้นด้วยการศึกษาถึง การรับรู้ของบุคคลที่เกี่ยวกับตนเอง ความคิดส่วนตัวที่เขามีต่อบุคคลอื่นและโลกที่เขาอาศัยอยู่ และยังมีความเชื่อว่า มนุษย์ เรามีคุณลักษณะที่สำคัญที่ทำให้เราแตกต่างไปจากสัตว์คือมนุษย์เรามีความมุ่ง มั่นอยากที่จะเป็นอิสระ เราสามารถกำหนดตัวเองได้และเรามีพลังจูงใจ (Motivational Force) ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สมบูรณ์ขึ้น ที่แสดงถึงความเป็นจริงแห่งตน ซึ่งหมายถึงการพัฒนาความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่ให้เต็มที่ (Self Actualization)
7. กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism)
ผู้นำกลุ่มนี้คือ เพียเจต์ บรูเนอร์ และวายเนอร์ หลังปี ค.ศ.1960 กลุ่มแนวคิดปัญญานิยม สนใจศึกษาเรื่องกระบวนการทางจิตซึ่งเป็น พฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ได้แก่ การรับรู้ การจำ การคิด และความเข้าใจ เช่น ขณะที่เราอ่านหนังสือ เราจะทราบความสำคัญของข้อความ คำต่างๆ เนื้อหาของเรื่องมากกว่าการรับรู้ตัวอักษร
นักวิจัยในกลุ่มปัญญานิยมสันใจศึกษากระบวนการทางจิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มองไม่เห็นภายในตัวบุคคลด้วย วิธีการวัดแบบวิทยาศาสตร์ แนวความคิดของกลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์จะเป็นผู้กระทำต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าทำตามสิ่งแวดล้อม เพราะจากความรู้ ความเชื่อและความมีปัญญาของมนุษย์ จำทำให้มนุษย์สามารถจัดการกับข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาในสมองมนุษย์ได้ เช่น ยูริค ไนเซอร์ (UlricNeisser) กล่าวว่า บุคคลต้องแปลผลสิ่งที่รับรู้มาเพื่อให้เข้าใจโลกรอบตัวของเขาได้ ดังนั้นเป้าหมายของนักจิตวิทยากลุ่มนี้คือ สามารถระบุเจาะจงได้ว่ากระบวนการของจิตเกี่ยวข้องกับการแปลความหมายสิ่งที่บุคคลรับเข้ามา แล้วส่งต่อให้หน่วยรับข้อมูล เพื่อแปลผลอีกครั้งหนึ่งว่ามีกลไกอย่างไรบ้างที่ช่วยจัดระบบระเบียบการจำและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พบเห็นได้ด้วยวิธีใด การทำงานของระบบความจำ และการใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา
ลักษณะ การรู้การคิด (Cognition) หมายถึง กระบวนการทางจิตซึ่งทำการเปลี่ยนข้อมูลที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัสไปในรูปแบบต่างๆ กระบวนการนี้ทำหน้าที่ตั้งแต่ลดจำนวนข้อมูล (Reduced) เปลี่ยนรหัส (Code) และส่งไปเก็บไว้ (Store) ในหน่วยความจำและรื้อฟื้นเรียกคืน (Retrieve) มาได้เมื่อต้องการ การรับรู้ จินตนาการ การแก้ปัญหา การจำได้ และการคิด คำเหล่านี้ล้วนอธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ เมื่อเกิดการรู้-การคิด นักจิตวิทยากลุ่มนี้คัดค้านว่ามนุษย์เรามิได้เป็นเพียงแต่หน่วยรับสิ่งเร้า ที่อยู่เฉยๆ เท่านั้น แต่จิตจะมีกระบวนการสร้างข้อสนเทศขึ้นใหม่หรือชนิดใหม่ การ ตอบสนองของมนุษย์ขึ้นอยู่กับกระบวนการทำงานของจิตในการประมวลผลข้อมูล และเมื่อมีข้อมูลใหม่หรือประสบการณ์ใหม่การตอบสนองก็เปลี่ยนไปได้
วิธีการศึกษาของนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม จะเน้นวิธีการทดลองเป็นส่วนใหญ๋ เช่น การทดลองให้ผู้รับการทดลองตั้งเทียนไขให้ขนานกับแนวฝาผนังโดยไม่มีอุปกรณ์ให้ ผู้รับการทดลองต้องใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ ซึ่งมักจะประสบความยุ่งยากในการแก้ปัญหา และต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆจากการใช้อุปกรณ์ที่มี จากการทดลองนี้วีคิดแบบเก่าๆ จะมีผลสกัดกั้นความคิดใหม่ๆได้ เพราะฉะนั้นบุคคลจะมีวิธีการเอาชนะวิธีคิดที่ตนเองคุ้นเคยได้อย่างไร และบุคคลจะสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร
5. แขนงสาขาต่างๆ ของจิตวิทยา
สาขาต่างๆ ของจิตวิทยา
ปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบแล้วว่าจิตวิทยาเป็นศาสตร์แขนงใหญ่แขนงหนึ่งซึ่งแต่เดิมนั้นจิตวิทยามีรากฐานมาจากวิชาปรัชญาที่ศึกษาจิตด้วยการสังเกตและสำรวจประสบการณ์ด้วยตนเองในเมื่อเป็นศาสตร์ที่แยกมาเป็นอิสระแล้วแนวทางในการศึกษาศาสตร์นี้จึงจำแนกออกเป็นสาขาย่อยหลายสาขาดังเช่นสาขาสำคัญๆ ต่อไปนี้
- จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เบื้องต้นของพฤติกรรมเป็นส่วนที่ว่าด้วยหลักการทั่วไปทางจิตวิทยา
- จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ศึกษาพัฒนาการเรียนการสอนและวิธีการส่งเสริมประสิทธิภาพของการเรียนรู้โดยนำหลักทางจิตวิทยามาใช้
- จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ศึกษาพัฒนาการด้านต่างๆของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งถึงวัยต่างๆโดยเน้นทำความเข้าใจการพัฒนาการด้านร่างกายสติปัญญาอารมณ์และสังคม
- จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) เป็นสาขาที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของบุคคลที่มีผลกระทบกับสังคมไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม
- จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) เป็นสาขาที่ค้นหาวิธีการและหลักการของจิตวิทยาที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานของธุรกิจต่างๆเช่นในอุตสาหกรรมโรงงานธุรกิจการบริการต่างๆเป็นต้นตลอดจนยังเป็นการศึกษาผลของสิ่งแวดล้อมประเภทต่างๆที่มีผลต่อการทำงานด้วย
- จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) ศึกษาพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์โดยเน้นใช้วิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการหรือเป็นกระบวนการทดลองในลักษณะอื่นๆเพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและผลของพฤติกรรมได้อย่างเชื่อมั่นมากขึ้นเช่นการทดลองเรื่องการเรียนรู้การคล้อยตามกาารอบรมเลี้ยงดูเป็นต้น
- จิตวิทยาอปกติ (Abnormal Psychology) เป็นการศึกษาสาเหตุการป้องกันแก้ไขพฤติกรรมที่มีความผิดปกติของมนุษย์ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย
- จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology) เป็นการศึกษาถึงการนำจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยโรคและการให้บริการบำบัดรักษามนุษย์ที่มีปัญหาทางจิตเช่นปัญหาการก่ออาชญากรรมการติดยาเสพติดเป็นต้น
6. วิธีการค้นคว้าทางจิตวิทยา
จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่หลายคนสงสัยว่าจะสามารถศึกษาพฤติกรรมของคนได้ถูกต้องลึกซึ้งเพียงใดบางคนถึงขั้นปฏิเสธความเป็นวิทยาศาสตร์ของจิตวิทยาเลยทีเดียวแต่นักจิตวิทยาพยายามสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งอาจจะไม่สมบูรณ์ทุกขั้นตอนแต่ได้กระทำอย่างมีกระบวนการสามารถบอกความสัมพันธ์และความแตกต่างของเหตุการณ์ได้โดยใช้การทดลองทำนายผลที่แน่นอนเช่นเดียวกับการศึกษาเรื่องอะตอมและโมเลกุลรวมทั้งการเคลื่อนไหวบนโลกแต่จิตวิทยาก็ไม่สามารถตอบปัญหาได้ทุกประเด็นแต่ก็สามารถบอกได้ว่ามนุษย์ควรจะทำอย่างไรหรือทำไมจึงต้องแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา (Camille B” WortmanElixabethF. Loftus 1988-3)
นอกจากนี้เนื้อหาวิชาของจิตวิทยาได้มาโดยกระบวนการครบขั้นตอนตามกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์โดยลำดับคือ
- ตั้งปัญหาขึ้น Formulating of Problem ผู้ศึกษาต้องตั้งจุดประสงค์ให้แน่นอนว่าจะศึกษาด้านใดต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างแล้วใช้ชื่อเรื่องหรือชื่อปัญหาที่จะทำการศึกษา อาจจะได้มาโดยวิธีการสังเกต หรือทำการศึกษาค้นคว้าจากตำรา หรืเอกสาร เพื่อนำมาประกอบเป็นแนวความคิด
- ตั้งสมมุติฐาน Stating the Hypothesis เพื่อแก้ปัญหานั้นๆหลังจากตั้งปัญหาแล้วผู้ศึกษาจะต้องพยากรณ์ล่วงหน้าหรือคาดคะเนว่าคำตอบของปัญหาน่าจะเป็นอะไรตามความนึกคิดความเชื่อของตนจะต้องมีเหตุผลสนับสนุนสมมติฐานจองตนพอสมควร
- รวบรวมข้อมูล Collecting the Data คือการเสาะแสวงหาและรวบรวมข้อมูลต่างๆ มาสนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ได้มาด้วยวิธีการต่าง เช่นการทดลองการสัมภาษณ์ หรือการใช้แบบสอบถาม
- ปฏิบัติการทดลองและวิเคราะห์ข้อมูล Testing and Analysis the Data หาข้อเท็จจริงทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่าเป็นจริงหรือไม่และทำการวิเคราะห์โดยหาค่า
- ประเมินและสรุปผลสรุปเป็นกฎเกณฑ์ทฤษฏีหรือคำตอบเป็นการแปลความหมายและรายงานผล
- นำผลที่ได้ไปใช้ (Applying the Finding) คือนำผลซึ่งพิสูจน์แล้วไปใช้เป็นหลักเกณฑ์นำไปอธิบายพฤติกรรมและปัญหาต่างๆ จิตปัญหาได้ชื่อว่าเป็นวิทยาศาสตร์เพราะข้อมูลที่นำมาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์นั้นได้มาโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มีการทดลองนำวีการทางสถิติวิจัยมาช่วยแปลความหมายข้อมูล
จิตวิทยามีวิธีการเหมือนกับวิชาวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ มีการรวบรวมความจริงพิสูจน์ทดลองค้นคว้าหาความจริงอย่างมีวิธีการมีแบบแผนมีการสรุปผลที่แน่นอน
วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา
ในปัจจุบันมีวิธีการสำหรับในการศึกษาทางจิตวิทยา 2 วิธี คือ
- วิธีการศึกษาแบบธรรมชาติ (Natural Method)
- วิธีการศึกษาแบบทดสอบ (Experimental Method)
1. วิธีการศึกษาแบบธรรมชาติ
เป็นวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาอย่างง่ายๆ การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลที่ต้องการจากสภาพที่เป็นอยู่ตามธรรมชิตซึ่งมีวิธีต่างๆ ดังนี้
1.1 วิธีการสังเกต Observation เป็นวิธีการเฝ้ามองและจดบันทึกพฤติกรรมของบุคคลอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบโดยหลีกเลี่ยงการใช้ความคิดเห็นส่วนตัววิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด
1.2 วิธีสำรวจ เป็นวิธีการเก็บรวบรวมที่มีอยู่แล้วมาศึกษาแล้วใช้ความรู้ทางสถิติสรุปผลเช่นสำรวจนักเรียนในโรงเรียนว่ามีร้อยละเท่าไรที่ไม่รับประทานอาหารมื้อเช้าเป็นต้น
1.3 วิธีพินิจภายใน Introspection เป็นวิธีการตรวจสอบจิตหรือความรู้สึกของบุคคลเมื่อต้องการทราบว่าเขาคิดอย่างไรเช่นเด็กชายอุดมกระโดดชกเพื่อนร้องไห้ในพฤติกรรมดังกล่าวครูจะต้องเรียกเด็กชายอุดมมาไต่ถามว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนนั้นและเขาคิดอย่างไรเพื่อครูจะได้เข้าใจถึงสุขภาพจิตและความรู้สึกของเด็กชายอดุดมเป็นต้น
1.4 วิธีการศึกษาเป็นรายกรณี Case Study เป็นวิธีการศึกษาภูมิหลังของบุคคลอย่างละเอียดโดยจำเป็นต้องใช้วิธีการศึกษาทางจิตวิทยาหลายๆ วิธีมาช่วยได้แก่วิธีสังเกตวิธีสัมภาษณ์วิธีศึกษาจากประวัติในระเบียบสะสมและวิธีทำสังคมมิติเพื่อจะได้เข้าใจพฤติกรรมของเด็ก
1.5 วิธีสัมภาษณ์ Interview เป็นวิธีการสนทนาหรือพูดคุยกันระหว่างบุคคลสองคนเพื่อให้สัมภาษณ์รู้จักเข้าใจและทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ถูกสัมภาษณ์
1.6 วิธีการทดสอบ Test and Questionnaire เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลของบุคคลเป็นจำนวนมากเฉพาะเรื่องเช่นต้องการทราบความสนใจของนักเรียนแต่ละคนในโรงเรียนครูก็ต้องสร้างแบบทดสอบความสนใจหรือนำแบบทดสอบความสนใจหรือนำแบบทดสอบความสนใจของผู้อื่นมาใช้ทดสอบความสนใตของนักเรียนเป็นต้น
2. วิธีการศึกษาแบบทดสอบ
เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมของบุคคลนอกเหนือจากวิธีการตามธรรมชาติโดยจะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้นในห้องปฏิบัติการแล้วคอยสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเช่นต้องการศึกษาความแตกต่างของความสามารถในการท่องจำของเด็กชายและเด็กหญิงผู้ทดลองจะต้องจัดสิ่งเร้าเป็นรูปธรรมต่างๆๆและให้เด็กชายและเด็กหญิงเข้ามาดูสิ่งเร้าดังกล่าวในเวลาเท่าๆกันแล้วให้เด็กชายและเด็หยิ.เขียนตอบว่าจำอะไรได้บ้างเพื่อนำผลมาเปรียเทียบกันว่าใครจำได้ดีกว่าเป็นต้น (สงวนสุทธิเลิศอรุณ,2532,110-111)
7. ประโยชน์ของจิตวิทยา
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจและรู้พื้นฐานทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจการรับสัมผัสและการรับรู้
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจสิ่งสำคัญที่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายโยงการเรียนรู้
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจเชาวน์ปัญญาและตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อเชาว์ปัญญาของมนุษย์แต่ละบุคคล
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจวิธีการประเมินและวัดบุคลิกภาพได้และแนวทางในการปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเอง
- ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายของสุขภาพจิตและสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพจิตรู้วิธีการบำบัดรักษาผู้มีอาการทางจิตและการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่น
- ทำให้ผู้ศึกษามีวิธีในการปรับตัวมีกลวิธานในการป้องกันตนเองและเข้าใจข้อดีและข้อเสียของการให้กลวิธานในการป้องกันตนเอง
- ทำให้ผู้ศึกษาเกิดการรับรู้พฤติกรรมทางสังคม (Social Perception) ที่มีต่อพฤติกรรมทางสังคมและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ
สรุป
จิตวิทยาคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือกิริยาอาการของมนุษย์รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้างในสถานการณ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆของบุคคลซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำให้สามารถคาดคะเนหรือพยากรณ์ได้ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันอาจจะเกิดปัญหาในอนาคตโดยใช้แนวทางหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์ มีนักจิตวิทยาหลายท่านที่ได้รับการยอมรับและใช้ทฤษฏีของเขามาจนปัจจุบันนักจิตวิทยาในยุคปัจจุบันและอนาคตเน้นการผสมผสานมากยิ่งขึ้นจิตวิทยายังเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าในปัจจุบันจิตวิทยาได้แตกออกเป็นสาขาต่างๆมากมายและยังมีการประยุกต์ใช้ในวงการวิชาชีพต่างๆเพื่อช่วยในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและการศึกษาทางด้านจิตวิทยายังมีความเป็นวิทยาศาสตร์ให้ผลการศึกษาเชื่อถือได้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลอ้างอิง
- กันยา สุวรรณแสง. (2540). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพมหานคร รวมสาส์น.
- พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2536). พุทธศาสนากับการพัฒนามนุษย์. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม,
- พรรณี ช. เจนจิต. (2545). จิตวิทยาการเรียนการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : เมธีทิปส์,. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)
- จิราภา เต็งไตรรัตน์, นพมาศ อุ้งพระ (ธีรเวคิน), รัจรี นพเกตุ, รัตนา ศิริพานิช, วารุณี ภูวสรกุล, ศรีเรือน แก้วกังวาล และคนอื่น ๆ. (2550). จิตวิทยาทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
- ปราณี รามสูต. (2542). จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สถาบันราชภัฏธนบุรี.
- เดโช สวนานนท์. (2520). ปทานุกรมจิตวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
- เติมศักดิ์ คทวณิช. (2546). จิตวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.
- สุรางค์ โค้วตระกูล. 2550. จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.