การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญคือ การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจะไม่มุ่งไปที่การหาวิธีถ่ายทอดเนื้อหาหรือทักษะที่ซับซ้อนให้กับผู้เรียน แต่จะพยายามหาหนทางสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดพลัง เกิดความปรารถนาเกิดยุทธวิธีในการคิด เพื่อที่จะค้นหาความรู้ หาคำตอบ แก้ปัญหา และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ที่สำคัญการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นภายในตัวเองได้นั้นต้องมาจากการเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมซึ่งหลักการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่ม Construcivism ที่เชื่อ การเรียนรู้ คือการที่ผู้เรียนเห็นความหมายของสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง โดยผ่านกิจกรรมทางสังคมนั่นเอง สำหรับวิธีการสอนที่ยึดหลักการของการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1. การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและแนวคิดกลุ่ม Constructivism
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเกิดขึ้นจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่า การจัดการศึกษามีเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ การจัดการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาตนเองสูงสุด ตามกำลังหรือศักยภาพของแต่ละคน แต่เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งด้านความต้องการ ความสนใจ ความถนัด และยังมีทักษะพื้นฐานอันเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการเรียนรู้ อันได้แก่ ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน ความสามารถทางสมอง ระดับสติปัญญา และการแสดงผลของการเรียนรู้ออกมาในลักษณะที่ต่างกัน จึงควรมีการจัดการที่เหมาะสมในลักษณะที่แตกต่างกัน ตามเหตุปัจจัยของผู้เรียนแต่ละคน และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกลไกของการจัดการนี้คือ ครู แต่จากข้อมูลอันเป็นปัญหาวิกฤตทางการศึกษา และวิกฤตของผู้เรียนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ครูยังแสดงบทบาทและทำหน้าที่ของตนเองไม่เหมาะสม จึงต้องทบทวนทำความเข้าใจ ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการศึกษาและวิกฤตของผู้เรียนต่อไป
การทบทวนบทบาทของครู ควรเริ่มจากการทบทวนและปรับแต่งความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของการเรียน โดยต้องถือว่า แก่นแท้ของการเรียนคือการเรียนรู้ของผู้เรียน ต้องเปลี่ยนจากการยึดวิชาเป็นตัวตั้ง มาเป็นยึดมนุษย์หรือผู้เรียนเป็นตัวตั้ง หรือที่เรียกว่า ผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูต้องคำนึงถึงหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ ถ้าจะเปรียบการทำงานของครูกับแพทย์คงไม่ต่างกันมากนัก แพทย์มีหน้าที่บำบัดรักษาอาการป่วยไข้ของผู้ป่วย ด้วยการวิเคราะห์ วินิจฉัยอาการของผู้ป่วยแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน แล้วจัดการบำบัดด้วยการใช้ยาหรือการปฏิบัติอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน วิธีการรักษาแบบหนึ่งแบบใดคงจะใช้บำบัดรักษาผู้ป่วยทุกคนเหมือน ๆ กันไม่ได้ นอกจากจะมีอาการป่วยแบบเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน ครูก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจและศึกษาให้รู้ข้อมูล อันเป็นความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน และหาวิธีสอนที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนนั้นให้บรรลุถึงศักยภาพสูงสุดที่มีอยู่ และจากข้อมูลที่เป็นวิกฤตทางการศึกษา และวิกฤตของผู้เรียนอีกประการหนึ่ง คือ การจัดการศึกษาที่ไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติในชีวิตจริง ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ครูจึงต้องหันมาทบทวนบทบาทและหน้าที่ที่จะต้องแก้ไข โดยต้องตระหนักว่า คุณค่าของการเรียนรู้คือการได้นำสิ่งที่เรียนรู้มานั้นไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย ดังนั้นหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงมีสาระที่สำคัญ 2 ประการคือ การจัดการโดยคำนึงถึงความแตกต่างของ ผู้เรียน และการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำเอาสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ศักยภาพสูงสุดที่แต่ละคนจะมีและเป็นได้ ส่วนเทคนิค วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จะได้กล่าวในตอนต่อไป
ลักษณะของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้ดังนี้
- Active Learning ปฏิบัติด้วยตนเอง
ด้วยความ กระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทำโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทำหน้าที่ เตรียมการจัด บรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คำปรึกษาและสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน - Construct ค้นพบสาระสำคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
อันเกิดจากการได้ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทำให้ ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนำไปสู่ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์ - Resource ได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลาย
ทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่าง ๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานการณ์)” - Thinking ส่งเสริมกระบวนการคิด
ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น (ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2543 : 55-59) การฝึกให้ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะ ต่าง ๆ จะทำให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิด เห็นออกได้อย่างชัดเจนและมีเหตุผลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน - Happiness เรียนอย่างมีความสุข
เป็นความสุขที่เกิดจาก ประการที่หนึ่งผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนสนใจสาระการเรียนรู้ ชวนให้สนใจใฝ่ค้นคว้าศึกษาท้าทายให้แสดง ความสามารถและให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ ประการที่สองปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน - Participation มีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดงาน
วางเป้าหมายร่วมกันและมีโอกาสเลือกทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจของตนเอง ทำให้ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง - Individualization ผู้สอนให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนในวามเป็นเอกัตบุคคล
ผู้สอนยอมรับในความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน - Good Habit พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม
เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้ำใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทำงานอย่างเป็นกระบวนการการทำงานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียน ได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ได้ประยุกต์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ได้มีความสุขและสนุกกับการเรียนรั้ ตลอดจนมีคุณลักษณะนิสัยดีงามที่สังคมพึงปรารถนา
2. แนวคิดกลุ่ม Constructivism
ความรู้ประกอบด้วยข้อมูลที่เรามีอยู่เดิม และเมื่อเราเรียนรู้ต่อไปความรู้เดิมก็จะถูกปรับเปลี่ยนไป การปรับเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ถือว่าเป็นการรับความรู้เข้ามาและเกิดการปรับเปลี่ยนความรู้ขึ้น เด็กจะมีการคิดที่ลึกซึ้งกว่าการท่องจำธรรมดา เพียงแต่เขาจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆ ที่ได้มา และสามารถที่จะสร้างความหมายใหม่ของความรู้ที่ได้รับมานั่นเอง
บางครั้งเราคิดว่าถ้าเรามีหลักสูตรที่ดีพอและเต็มไปด้วยข้อมูลที่สามารถให้กับผู้เรียนได้มากที่สุดเท่าที่เราจะให้ได้แล้ว ผู้เรียนก็จะสามารถเรียนรู้ได้เองและเติบโตไปเป็นผู้ที่มีการศึกษา แต่ทฤษฎี constructivism กล่าวว่าหลักสูตรอย่างนั้นไม่ได้ผล นอกจากว่าผู้เรียนได้เรียนแล้ว สามารถคิดเองและสร้างมโนภาพความคิดด้วยตนเอง ทั้งนี้ เพราะการให้แต่ข้อมูลกับผู้เรียน ไม่ได้ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสมองของคนเรามีกระบวนการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นแล้วนำมาทำความเข้าใจว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งจะต้องนำมาสร้างความรู้ ความรู้สึก และมโนภาพของเราเองด้วย
ดังนั้นถ้าพูดถึงระบบการศึกษาแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้หมายความว่ามีอุปกรณ์การสอนแล้วเราละทิ้งให้ผู้เรียนเรียนไปคนเดียว แต่การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ ผู้เรียนจะเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด หมายความว่าผู้เรียนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กันกับสิ่งกระตุ้น สิ่งกระตุ้นในที่นี้ หมายถึง ครู ผู้สอน หรือสิ่งแวดล้อมที่จะไปกระตุ้นผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยชี้แนะแนวทางการคิดให้กับผู้เรียน นอกจากนี้การสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งกระตุ้นต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างเป็นความรู้ขึ้นในสมอง
ตัวกระตุ้นที่มีความสำคัญมากต่อการเกิดการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructivism คือ ความรู้เกิดจากความฉงนสนเทห์ทางเชาวน์ปัญญา วิธีการที่เราสามารถทำให้ผู้เรียนอยากจะเรียนรู้คือมีตัวกระตุ้นที่ทำให้ผู้เรียนเกิดข้อสงสัยอยากรู้ และผู้เรียนต้องมีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่อยากจะเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ ทั้งนี้เพราะว่าเวลาคนเราเกิดความสงสัยเกี่ยวกับอะไร ก็มักจะเกิดข้อคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ขึ้นมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้น เป็นเป้าหมายที่จะทำให้ต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะตอบคำถามนั้นให้ ได้
ดังนั้นครูจึงต้องพยายามดึงจุดประสงค์ ความต้องการ และเป้าหมายของผู้เรียนออกมาให้ได้ อาจจะโดยกำหนดหัวข้อหรือพูดคร่าวๆ ว่าเราจะศึกษาหรือเรียนรู้อะไรบ้าง เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางเข้าเมือง ให้ผู้เรียนตั้งเป้าหมายว่าเขาต้องการที่จะเรียนรู้อะไร มีคำถามอะไรบ้าง ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนและทำให้ผู้เรียนพยายามที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และมีความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
อีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มนักจิตวิทยา ได้ให้ความคิดเห็นว่าความรู้มาจากการมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม จากการที่เราได้ทบทวนและสะท้อนกลับไปของความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราเข้าใจ
กระบวนการเรียนรู้โดยธรรมชาติ เป็นการเรียนรู้ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นสังคม กล่าวคือ ความรู้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม ความรู้มาจากการที่คนอื่นได้แสดงออกของความคิดที่แตกต่างกันออกไป และกระตุ้นให้เราเกิดความสงสัย เกิดคำถามที่ทำให้เราอยากรู้เรื่องใหม่ๆ
ดังนั้น การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ต้องมีสังคม ต้องดึงเอาความรู้เก่าออกมาและต้องให้ผู้เรียนคิดและแสดงออก ซึ่งจะทำได้เฉพาะกับสังคมที่มีการสนทนากัน แม้ว่าบางครั้งการสนทนาหรือการแสดงความคิดเห็นอาจจะไม่ตรงกันหรือมีความขัดแย้งกัน แต่ความขัดแย้งจะทำให้เราเกิดการพัฒนาและได้ทางเลือกใหม่จากที่คนอื่นเสนอ ฉะนั้นต้องทำให้ผู้เรียนได้แสดงออกมาว่ารู้อะไร และให้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนรู้โดยที่ครูหรือผู้สอนเป็นผู้ช่วยเหลือเขา
สิ่งสำคัญมากประการหนึ่ง คือ ครูจะต้องมีเวลากลับไปทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการออกแบบชั้นเรียน และถ้าผู้เรียนสามารถสร้างวิธีการประเมินตนเองในการเรียนรู้ที่ผ่านมา ก็จะประเมินตนเองได้ว่าได้ทำอะไรเพิ่มเติมจากที่ครูประเมิน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ ของเขาและสะท้อนว่าเขาได้ เรียนอะไรและทำได้ดีเพียงไร
3. หลักการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อความรู้ความเข้าใจและ metacognition
- ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ (Nature of Learning Process)
การเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนจะได้ผลก็ต่อเมื่อเป็นกระบวนการที่เกิดจากความตั้งใจของผู้เรียนที่จะสร้างความหมายจากข้อมูล จากประสบการณ์ที่ได้รับ และจากความความคิดและความเชื่อของตนเอง โดยเน้นที่ตัวผู้เรียนว่าจะต้องมีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบ และมีจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนสามารถจูงใจหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกดังกล่าวได้ - เป้าหมายของกระบวนการเรียนรู้ (Goals of the Learning Process)
เนื่องจากการเรียนรู้จะเกิดจากตัวผู้เรียนที่ต้องมีความตั้งใจและมีจุดมุ่งหมายของตนเอง แต่บางครั้งจุดมุ่งหมายและความต้องการของผู้เรียนอาจไม่ตรงกันกับเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งในการนี้นักวิชาการ นักการศึกษา และครูผู้สอนจะต้องช่วยทำให้จุดมุ่งหมายและความสนใจส่วนบุคคลของผู้เรียนตรงกับสิ่งที่นำเสนอให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยการลดช่องว่าง ปรับแต่ง ประสมประสาน หรือกระตุ้นความต้องการของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจุดมุ่งหมายของผู้เรียนและเป้าหมายทางการศึกษา - การสร้างความรู้ (Construction of Knowledge)
ความรู้จะขยายกว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีความหมาย ซึ่งรูปแบบของการเชื่อมโยงความรู้ทำได้หลายวิธี เช่น การเติม การปรับแต่ง การจัดความรู้และทักษะเดิมใหม่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้เรียนจะสามารถเชื่อมโยงความรู้ดังกล่าวและสร้างเป็นความรู้ที่มีความหมายขึ้นมาใหม่ได้ แต่การเชื่อมต่อความรู้ใหม่ไปสู่การปฏิบัติจริงอาจยังทำได้ไม่ดีนัก ดังนั้นผู้สอนจะต้องหาทางช่วยให้ผู้เรียนประยุกต์ความรู้ไปใช้ในประสบการณ์จริงได้ - การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)
ผู้เรียนจะต้องมีกลยุทธ์ในการคิดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการนำความรู้ไปใช้ได้จริง นอกจากนี้ ยังต้องสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการเรียนรู้ครั้งต่อไปด้วย ซึ่งความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์และการเลือกใช้กลยุทธ์ดังกล่าวของผู้เรียนเกิดจากการได้รับคำแนะนำและการได้รับผลป้อนกลับ การสังเกต และการได้ใกล้ชิดกับตัวแบบที่เหมาะสม ซึ่งผู้สอนน่าจะสามารถช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความคิดในเชิงกลยุทธ์ได้เป็นอย่างดีด้วยการให้คำชี้แนะ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียน รวมทั้งให้ผลป้อนกลับที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ของตนเองขึ้นมาได้ - การคิดเกี่ยวกับความคิดของตนเอง (Thinking about Thinking)
ผู้เรียนจะต้องกระตือรือร้นในการคิด การใช้เหตุผล มีจุดมุ่งหมาย และสามารถเลือกใช้กลยุทธหรือวิธีการที่เหมาะสมเพื่อที่จะบรรลุจุดมุ่งหมาย รวมทั้งติดตามและทบทวนความก้าวหน้าของจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้ และเมื่อประเมินแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ก็สามารถค้นหาวิธีการอื่น ๆ ที่จะทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นต่อไปได้ ดังนั้น ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องให้ข้อเสนอแนะที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนากลยุทธ์ขั้นสูงในการตรวจสอบ ทบทวน และประเมินความคิดของตนเองเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขหรือหาวิธีการใหม่ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ - บริบทของการเรียนรู้ (Context of Learning)
เนื่องจากการเรียนรู้ของผู้เรียนมิได้เกิดขึ้นได้โดยอิสระ ต้องมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบทบาทของผู้สอน วิธีการสอน วัฒนธรรมของกลุ่ม และเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบการสอน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อแรงจูงใจของผู้เรียน ต่อการเชื่อมโยงความรู้ ต่อยุทธวิธีในการเรียนรู้และการคิดของผู้เรียนแทบทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้หรือไม่
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับอารมณ์ และแรงจูงใจ
- อารมณ์และแรงจูงใจมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ (Motivational and Emotional Influences of Learning) ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีและเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับแรงจูงใจของผู้เรียนซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะทางอารมณ์ ความเชื่อ ความสนใจ เป้าหมายในชีวิต และความเคยชินในการคิด โดยอารมณ์ทางบวก ได้แก่ความอยากรู้อยากเห็น และความวิตกกังวลในระดับปานกลางจะทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจและความตั้งใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้ามอารมณ์ทางลบ ได้แก่ ความวิตกกังวลที่สูงเกินไป ความตื่นตระหนก ความรู้สึกไม่มั่นคง รวมทั้งความคิดที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง เช่น ความกลัวการพ่ายแพ้ ความล้มเหลว กลัวการถูกลงโทษ การถูกดูหมิ่นเหยียบหยาม ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อแรงจูงใจ อันจะทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน และทำให้ผลการปฏิบัติงานลดลง
- แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation to Learn) ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในระดับสูง และความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่ทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจภายในในการเรียน ดังนั้นการจะทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจภายในได้ ผู้สอนต้องทำให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากใช้ความคิดไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือความคิดในระดับสูงเพื่อแก้ปัญหา โดยผู้สอนควรเสนองานที่มีลักษณะดังนี้คือ งานที่มีความยากพอสมควรเพื่อท้าทายความสามารถของผู้เรียน และต้องเป็นงานที่ตรงกับความสนใจของผู้เรียน รวมทั้งเป็นงานที่ผู้เรียนได้มีอิสระในการเลือก ในการควบคุม และในการตัดสินใจ ซึ่งถ้าผู้สอนสามารถทำให้งานมีลักษณะดังกล่าวได้ ก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจภายในในการเรียนนั้นเอง
- ผลของแรงจูงใจที่มีต่อความพยายาม (Effects of Motivation on Effort) การได้มาซึ่งความรู้และทักษะที่ซับซ้อนต้องอาศัยพลังและความพยายาม ตลอดจนความอดทนที่สูงมาก ผู้สอนจะต้องหากลยุทธที่จะเอื้อให้ผู้เรียนเกิดพลังจูงใจดังกล่าว ซึ่งกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีเป้าหมายชัดเจน การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจภายในในการปฏิบัติงาน และการทำให้ผู้เรียนรับรู้ถึงความน่าสนใจของงาน ซึ่งกลยุทธ์ต่าง ๆ ดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดพลัง และเกิดความพยายาม ตลอดจนมีความอดทนในการทำงานสูง
ปัจจัยที่เกี่ยวกับพัฒนาการและอิทธิพลของสังคม
- อิทธิพลของพัฒนาการต่อการเรียนรู้ (Developmental Influences on Learning)
ในขั้นพัฒนาการของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด อารมณ์ และสังคม อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จากครอบครัว ชุมชนและสังคม รวมทั้งวัฒนธรรมรอบข้าง ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้สอนจะต้องนำมาพิจารณาและทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้สามารถจัดเตรียมเนื้อหา กิจกรรม และวัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและสนุกสนานกับการเรียนรู้ - อิทธิพลของสังคมต่อการเรียนรู้ (Social Influences on Learning)
การปะทะสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสาร และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนแทบทั้งสิ้น การสนับสนุนให้มีการปะทะสัมพันธ์ทางสังคม การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน จะช่วยให้บุคคลมีมุมมองที่กว้างไกล เกิดความยืดหยุ่นทางความคิด อันจะนำไปสู่ความสามารถในการคิดขั้นสูงต่อไป นอกจากนี้ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลยังทำให้แต่ละคนเกิดความรู้สึกที่มั่นคง เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และเอื้ออาทรต่อกัน อันจะนำไปสู่ความรู้สึกมีส่วนร่วมต่อสังคม (Sense of Belonging) การยอมรับตนเอง (Self Acceptance) รวมทั้งความนิยมนับถือตนเองด้วย (Self-Respect) ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้
ปัจจัยที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้ (Individual Differences in Learning)
ผู้เรียนแต่ละคนมีกลวิธีการในการเรียนรู้ การจัดกระทำกับความรู้ และความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป อันเป็นผลมาจากประสบการณ์ทางสังคมที่ผ่านมาและการได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวอาจเอื้ออำนวยให้บางคนเรียนรู้ได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางให้อีกหลายคนเกิดการเรียนรู้ที่ยากลำบาก ดังนั้นผู้สอนจะต้องหาหนทางที่เป็นกลางในการทำให้ผู้เรียนทุกคนไม่ว่าจะมีการเรียนรู้ การจัดกระทำกับความรู้ และความสามารถในการเรียนรู้แบบใดก็ตามสามารถรับรู้ และจัดกระทำกับความรู้ต่อไปได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งในการนี้ผู้สอนอาจต้องอาศัยอุปกรณ์และเครื่องมือโสตทัศนศึกษาเข้าช่วยด้วย - การเรียนรู้และความหลากหลาย (Learning and Diversity)
ถึงแม้หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจในการเรียน และวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการเรียนการสอนโดยทั่ว ๆ ไปก็ตาม แต่ก็ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงและนำมาพิจารณาประกอบการดำเนินการจัดการเรียนการสอนด้วยก็คือ ความแตกต่างในเรื่องของภาษา เชื้อชาติ ความเชื่อ สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ซึ่งการนำประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาประกอบด้วยจะช่วยทำให้การออกแบบบทเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอนสามารถดึงดูดและสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้เกิดกับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี - มาตรฐานและการประเมิน (Standards and Assessment)
การตั้งมาตรฐานที่ท้าทายความสามารถ และการติดตามประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนทุกขั้นตอน รวมทั้งการประเมินความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับอย่างต่อเนื่อง จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากแก่ทั้งตัวผู้เรียนและผู้สอน ทำให้ผู้สอนทราบถึงความก้าวหน้าหรือสัมฤทธิ์ผลที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียนแต่ละคน รวมทั้งทราบถึงความก้าวหน้าหรือสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียนเมื่อเปรียบเทียบกันผู้เรียนคนอื่น ๆ ภายในกลุ่ม ทำให้ผู้สอนสามารถปรับแต่ง และออกแบบบทเรียนได้อย่างเหมาะสมในทุก ๆ ขั้นตอน นอกจากนี้ การประเมินผลยังช่วยฝึกทักษะในการประเมินตนเองของผู้เรียนว่าได้บรรลุจุดมุ่งหมายหรือมาตรฐานมากน้อยเพียงใด ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับตนเอง รวมทั้งสามารถเรียนรู้โดยการนำตนเองได้ (Self-Directed Learning)
4. วิธีการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
วิธีการสอนแบบ Cooperative Learning
การเรียนรู้ด้วยการทำงานร่วมกัน เป็นวิธีการเรียนรู้ด้วยกันสองคน หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ ในการทำงานร่วมกันก็เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีการทำงานร่วมกันคือ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเองสูงสุด และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้ได้ประโยชน์ของกันและกันมากที่สุด (ทิศนา แขมมณี, 2548, 2551)
รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือพัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรูปแบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974 : 213 – 240 อ้างใน ทิศนา แขมมณี (2545, 2547, 2548, 2550, 2551) ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกันเพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของ การแพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้ด้วยการงานร่วมกัน
การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน ต้องมีทัศนคติที่ดีในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence) ผู้เรียนต้องมีความตระหนักว่าทุกคนต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้คนเดียว ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความช่วยเหลือซึ่งกันละกันภายในกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน (Face to Face Interaction) ผู้เรียนต้องทำงานร่วมกันให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน ฉะนั้นผู้เรียนควรมีการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนช่วยเหลือกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และกระตุ้นการทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ จะเป็นการพูดคุยถกเถียงการแก้ปัญหาร่วมกัน รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการตรวจสอบความเข้าใจ การเรียนรู้ทั้งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
- การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน
- การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group processing) สมาชิกในกลุ่มต้องมีการอภิปรายถกเถียงกันถึงความสำเร็จของงาน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
- การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกันนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก
รูปแบบนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหาและอื่น ๆ
รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการดำเนินการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล แตกต่างกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไป ในทิศทางเดียวกันคือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัย การร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูป จะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัล เป็นประการสำคัญ
การเรียนแบบ Collaborative สามารถใช้ในการเรียน ดังต่อไปนี้
1. Group Process/Group Activity/Group Dynamics
1.1 เกม
1.2 บทบาทสมมุติ
1.3 กรณีตัวอย่าง
1.4 การอภิปรายกลุ่ม
2. Cooperative Learning
2.1 การเล่าเรื่องรอบวง (Round robin)
2.2 มุมสนทนา (Corners)
2.3 คู่ตรวจ สอบ (Pairs Check)
2.4 คู่คิด (Think-Pair Share)
2.5 ปริศนาความคิด (Jigsaw)
2.6 กลุ่มร่วมมือ (Co-op Co-op)
2.7 การร่วมมือกันแข่งขัน (The Games Tournament)
2.8 ร่วมกันคิด (Numbered Headed Together)
3. Constructivism
3.1 The Interaction Teaching Approach
3.2 The Generative Learning Model
3.3 The Constructivist Learning Model
3.4 Cooperative Learning
การเรียนรู้ด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม จำแนกลักษณะได้ดังนี้
บทบาทของผู้สอน
• ต้องวางแผนทักษะการทำงาน เพื่อถ่ายทอดการเรียนรู้
• สอนผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้
• พัฒนาผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบ
• ส่งเสริมให้เกิดเรียนรู้อย่างแท้จริง
• อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสาสมารถประเมินตนเองได้
• กระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้
• ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกๆ คน
• สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนใช้ความคิดให้มากขึ้น
• ผู้สอนต้องสอนทักษะการเข้าสังคม
• มีความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับวัสดุฝึก นักเรียนกับนักเรียน
วิธีการสอนแบบ Discovery Learning
กระบวนการเรียนรู้แบบ Discovery Learning Process เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ครู หรือผู้สอน มีบทบาทเป็นกองหนุนให้ผู้เรียน เป็นผู้ช่วยส่งเสริม ให้โอกาสผู้เรียนแต่ละคน ได้ฝึกฝนทักษะที่มีอยู่ในตัวเอง ในการเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการเรียนรู้ตามแบบของตนเอง ประกอบไปด้วย 7 ส
ส 1. สงสัย: ฝึกฝนการเป็นคนช่างคิด ช่างสงสัย รู้จักตั้งคำถาม นำไปสู่การเป็นคนใฝ่รู้ตื่นตัว คิดเป็น
ส 2.สังเกต: รู้จักเก็บรายละเอียด ไม่รีบร้อน ไม่มองข้าม นำไปสู่การเป็นคนละเอียดรอบคอบ
ส 3. สัมผัส: ช่วยฝึกฝนให้คนรู้จักการใช้ หู ตา จมูก และลิ้นในการเรียนรู้ เกิดการพัฒนาสมอง และการใช้ทักษะของร่างกายทั้ง 5
ส 4. สำรวจ: ให้ผู้เรียนรู้จักมองหาความเชื่อมโยงความสัพันธ์ความเกี่ยวข้อง สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้ เป็นพัฒนาไปสู่การมองแบบองค์รวม
ส 5. สืบค้น: เป็นนำความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มาศึกษานำไปสู่การเป็นคนใฝ่รู้ รักการอ่าน การค้นคว้า
ส 6. สั่งสม: ฝึกทำซ้ำ ๆ ให้ผู้เรียนมีหลักคิดทางวิทยาศาสตร์ ทบทวนความถูกต้องแม่นยำ รู้จักฝึกหาทางออกเพื่อแก้ปัญหา พัฒนาตนเองสู่ความเชี่ยวชาญ
ส 7. สรุปผล: รู้จักคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประมวลความคิด ลำดับขั้นตอน รู้จักกล้านำเสนอความคิด หรือคำตอบ ในมุมมองที่เหมือน หรือแตกต่าง ด้วยตนเอง
การจะจัดกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ได้ต้องเชื่อมั่นว่าผู้เรียนมี ศักยภาพ ในตนเอง มีความกระหายใคร่รู้ มีความฝัน และจินตนาการ และมีความปรารถนา เป็น คนดี
Discovery Learning Process ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ที่เป็นองค์ประกอบในการดำรงชีวิตของเขาในปัจจุบัน และอนาคต เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข จัดกระบวนการเรียนรู้แบบ Discovery Learning Process เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และมีส่วนร่วมในกระบวนการที่ก่อให้เกิดความรู้ ผ่านทางความคิดของผู้เรียน ตลอดจนได้ลงมือปฏิบัติเอง (เรียนรู้โดยการกระทำ) ได้ลองผิดลองถูกเอง สามารถสรุปความคิดรวบยอดได้ ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางความคิดแบบมีเหตุผล (คิดวิเคราะห์เป็น) แก้ปัญหาได้ ผู้เรียนจะเกิดความภูมิใจ สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน คือ เป็นผู้ใฝ่รู้ และเรียนรู้วิธีที่จะค้นหาคำตอบ นำไปสู่การจดจำสิ่งที่เรียนรู้แล้วได้นาน แบบฝังลึก
บทบาทของครู หรือผู้สอน จึงเป็นผู้จัดการกระบวนการเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียน ได้ใช้ทักษะ 7 ส. ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนเอง ดังนี้ ชักชวนให้ผู้เรียนเกิดการสงสัย ไม่รีบให้คำตอบ, ให้เวลาผู้เรียนได้สำรวจฝึกการสังเกต ใช้บันทึกช่วยจำ, กระตุ้นให้ผู้เรียนได้สัมผัส ให้ครบทั้ง 5 สัมผัส อย่าใช้ คำว่า “ห้าม” “อย่า” “หยุด” กับผู้เรียน, สนับสนุนให้ผู้เรียนอยากสำรวจสิ่งที่สนใจ, สนับสนุนเสนอแนะแนว ให้ผู้เรียนสืบค้นหาคำตอบต่อจากสิ่งที่ได้สำรวจ, ให้โอกาสให้ผู้เรียนได้เกิดการสั่งสมเพื่อให้ได้นำความรู้ที่ได้กลับมาใช้ได้อย่างอัตโนมัติ, เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สรุปผลได้เองเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดได้ด้วยตนเอง
ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการสงสัยรู้จักตั้งคำถามกับสิ่งที่พบเห็น ชักจูงให้ผู้เรียนใช้การสังเกต สัมผัส ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่าง ไม่ปิดกั้น และสนับสนุนให้ผู้เรียนต่อยอดความรู้ด้วยการสำรวจ และสืบค้นข้อมูล จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ รอบตัว และมีการสั่งสม ทำซ้ำจนเกิดเป็นความชำนาญ หรือเกิดทักษะในเรื่องนั้น ๆ ตลอดจนได้คำตอบสุดท้าย ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสรุปความรู้อย่างอิสระรวมทั้งเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ดี ครูผู้สอนต้องคอยสังเกตผู้เรียนว่ามีการฝึกทักษะ 7 ส.มากน้อยเพียงใด ครูผู้สอนต้องทำหน้าที่นักวางแผน สร้างโจทย์ หรือเงื่อนไขการเรียนรู้ และจัดกระบวนการกิจกรรมรองรับ โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน และสถานการณ์นั้น ๆ
วิธีการสอนแบบ Scaffolding
เป็นเทคนิคการสอนแบบหนึ่ง ที่มีผู้ให้คำจำกัดความไว้หลายท่าน เช่นกระบวนการสอนแบบเอื้ออาทร หรือใช้ว่า การเสริมต่อการเรียนรู้ Scaffolding มาจากแนวคิดของไวก็อตสกี้ (Lev Semenovich Vygotsky) เรื่องพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ และการเสริมต่อการเรียนรู้ ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีทางสังคมวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้และพัฒนาการ แนวทางที่ไวก็อตสกี้เสนอไว้ และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก คือ การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ซึ่งอธิบายไว้ดังนี้
การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) หมายถึง บทบาทเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ที่ให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการต่างๆ ตามสภาพปัญหาที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหานั้นด้วยตนเองได้ โดยเป็นการจัดเตรียมสิ่งที่เอื้ออำนวย การให้การช่วยเหลือ แนะนำ สนับสนุน ขณะที่ผู้เรียนกำลังแก้ปัญหาหรือกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้เรื่องใด เรื่องหนึ่ง (ผู้เรียนกำลังอยู่ในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ) ทำให้ผู้เรียนต้องสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็น ขั้นตอน และปรับการสร้างความรู้ความเข้าใจภายในตน (Internalization) ให้กลายเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่ภายในตนเอง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน ให้ก้าวไปสู่ขั้นหรือระดับพัฒนาการที่สูงขึ้นไป ทำให้ผู้เรียนสามารถกำกับตนเองในการเรียนรู้ และมีความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น
วูด บรูเนอร์ และโรส (Wood, Bruner & Ross. 1976) ได้เสนอวิธีการช่วยเสริมต่อการเรียนรู้ไว้ 6 ประการ คือ
- การสร้างความสนใจ (Recruitment) กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ โดยผู้เรียนจะต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของงานหรือการเรียนรู้นั้น
- ลดระดับการเรียนรู้ที่ไร้หลักการ ระเบียบ หรือกฎเกณฑ์ (Reduction in degree of freedom) เพราะจะทำให้ยากต่อการจัดการหรือการให้ความช่วยเหลือ ดังนั้น ผู้สอนจะต้องสะท้อนผลการเรียนรู้ (Feedback) เป็นระยะๆ สม่ำเสมอ ต่อเนื่องกัน เพื่อให้ผู้เรียนนำผลไปใช้เพื่อเพิ่มระดับการเรียนรู้ในแต่ละขั้นได้อย่าง ถูกต้อง
- รักษาทิศทางการเรียนรู้ (Direction maintenance) ผู้สอนต้องดูแลกวดขันผู้เรียนเป็นพิเศษเพื่อให้เรียนรู้ที่จะมุ่งไปสู่จุด มุ่งหมายตั้งไว้
- กำหนดลักษณะสำคัญที่ควรพิจารณาของสิ่งที่จะเรียนรู้ให้เด่นชัด (Marking critical features) เช่น ผู้สอนเมื่ออธิบายเนื้อหาสาระบางอย่างที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ก็ควรเน้นเสียงเป็นพิเศษ หรือหากผู้เรียนเกิดความขัดแย้งในการทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้ ผู้สอนควรแปลความหมายของเรื่องที่กำลังเรียนรู้นั้นๆ เสียใหม่ ด้วยภาษาที่ให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายๆ และถูกต้องตรงกัน
- ควบคุมความคับข้องใจของผู้เรียน ( Frustration control) รับรู้ต่ออารมณ์ของผู้เรียนที่แสดงออกมา เช่น ผู้สอนต้องยอมรับความรู้สึกของผู้เรียนกรณีที่เขาเกิดความไม่เข้าใจสิ่งที่ กำลังเรียนรู้ ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยให้ผู้เรียนมีความรู้สึกที่ค้างคาใจ เพราะจะทำให้ผู้เรียนมีความคับข้องใจเพิ่มมากขึ้น
- ควรมีการสาธิต (Demonstration) หรือมีแบบอย่างให้กับผู้เรียนในการแก้ปัญหาการเรียนรู้
สรุป
หลักการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจะไม่มุ่งไปที่การหาวิธีถ่ายทอดเนื้อหาหรือทักษะที่ซับซ้อนให้กับผู้เรียน แต่จะพยายามหาหนทางสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดพลัง เกิดความปรารถนาเกิดยุทธวิธีในการคิด เพื่อที่จะค้นหาความรู้ หาคำตอบ แก้ปัญหา และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ที่สำคัญการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นภายในตัวเองได้นั้นต้องมาจากการเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมซึ่งหลักการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่ม Construcivismที่เชื่อ การเรียนรู้ คือการที่ผู้เรียนเห็นความหมายของสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง โดยผ่านกิจกรรมทางสังคมนั่นเอง สำหรับวิธีการสอนที่ยึดหลักการของการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ได้แก่ 1)การสอนแบบCooperative Learningซึ่งสอนโดยการแบบผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการเรียนรู้หรือแก้ปัญหาที่ผู้สอนกำหนด 2)การสอนแบบ Discovery Learning ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้สอนจะเสนอตัวอย่างบางส่วนของสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสังเกต ทดลอง พินิจพิเคราะห์ และใช้วิจารณญาณไตร่ตรอง จนในที่สุดสามารถค้นพบหลักการหรือเกิดการเชื่อมโยงโครงสร้างความรู้ทั้งหมดได้ด้วยตนเอง และ3)Scaffodingเป็นวิธีการสอนที่ผู้สอนจะต้องมีบทบาทในการให้คำแนะนำหรือเป็นแบบอย่างในการคิดวิเคราะห์ หรือควบคุมการทำงานภายในความคิดตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากวิธีการสอนที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ผู้สอนสามารถสร้างสรรค์วิธีการสอนเช่นใดก็ได้ที่จะเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามปรัชญาของการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จากนั้นทำการวิจัยตรวจสอบ บันทึกผลที่ได้ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์หรือไม่เพียงใด อันจะทำให้เกิดความคุ้มค่าในการจัดการเรียนการสอนอย่างแท้จริง
อ้างอิง
- คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้. (2543). (ร่าง) การปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด. เอกสารอัดสำเนา, 2543.
- ชาติ แจ่มนุช และคณะ. นักเรียนเป็นศูนย์กลางคืออย่างไร. เอกสารอัดสำเนา, มปป.
- ประเวศ วะสี. (2541). ปฏิรูปการศึกษา-ยกเครื่องทางปัญญา : ทางรอดจากความหายนะ. พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์.
- ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2543). การพัฒนากระบวนการคิด.เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการพัฒนารูปแบบการสอนที่เน้นกระบวนการคิดตามแนวปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้. นครปฐม : ศูนย์ศึกษาพัฒนาครู คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครปฐม.
- วิชัย วงษ์ใหญ่.พลังการเรียนรู้. (2542). ในกระบวนการทัศน์ใหม่. (พิมพ์ครั้งที่ 4), กรุงเทพหานคร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2543). การเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ. กรุงเทพมหานคร : ดวงกมลสมัยจำกัด.
- อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2544). การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. วารสารครุสาร คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครปฐม ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2544.
- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 [Online]. แหล่งที่มา: http://www.gad.ku.ac.th ออนไลน์ สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2558
- Ausubel, David P. (1963). The Psychology of Meaningful Verbal learning. New Yok:Grune and Stration.
- Biehler. Robert F. (1974). Psychology Applied to Teaching. Boston; Houghton Miffin Comp.1971.1974 (2nd ed).